พระอาจารย์
10/7 (560225B)
(แทร็กชุดต่อเนื่อง)
25 กุมภาพันธ์ 2556
พระอาจารย์ –
ทั้งหมดนี่...การพูด การอธิบาย
การสาธยายธรรม การจำแนกสมมุติธรรม ภาษาธรรม บัญญัติธรรม สังขารธรรม สมมุติธรรม
ที่ท่านเอ่ยอ้างมาเป็นปริยัติภาษา
ว่าศีลคืออะไร ความแท้จริงของศีลคืออะไร ประโยชน์ของศีลคืออะไร
สมาธิคืออะไร แท้จริงของสมาธิที่เป็นสัมมาคืออย่างไร
ปัญญาที่เรียกว่าปัญญาที่แท้จริงคืออะไร ปัญญาที่เรียกว่าภาวนามยปัญญา
ปัญญาที่เรียกว่าเป็นปัญญาที่จะเป็นเหตุให้เกิดความหลุดและพ้น จากขันธ์และโลก
มรรคคืออะไร การปฏิบัติที่แท้จริง เป้าหมายของการปฏิบัติที่แท้จริงคืออะไร
นี่คือหน้าที่ของครูบาอาจารย์เหล่าอริยสงฆ์สาวก
ที่ท่านจะน้อมนำสาธยายแจกแจงให้ตรงตามอรรถและธรรม ที่พระพุทธเจ้าเคยทำ แล้วสอนสั่งให้ทุกคนทำ
เพื่อผลในองค์มรรค คือความเกิดความตายในสังสารวัฏน้อยลง
จนถึงขั้นที่เรียกว่าไม่เกิดอีกเลย...นั่นแหละคือผล
เพราะฉะนั้นการวัดผลของการปฏิบัติ ...ไม่ใช่จิตดี จิตไม่ดี ไม่ใช่จิตสงบ ไม่ใช่จิตไม่คิดไม่นึกแล้วดี ... แต่ให้วัดว่า
ทุกข์น้อยลงไหม ความหมายมั่น ความจริงจังกับสิ่งต่างๆ จนเป็นทุกข์ มันน้อยลงไหม
ความข้องติด ความยึดถือ ความแนบแน่น ความเนิ่นนานในกองทุกข์ ในความเป็นทุกข์
สั้นลงไหม หรือยาวขึ้นไหม
ตัวนี้จะเป็นตัววัดผล ซึ่งไม่ต้องไปถามใครเลย
ไม่ต้องไปให้ใครพยากรณ์เลยว่าถูกรึยังๆ ...ถามตัวมึงเองเหอะ ทุกข์มันน้อยลงรึเปล่าล่ะ ...นี่ ต้องถามอย่างนี้เลย
เพราะฉะนั้น อะไรก็ตาม การกระทำอย่างไรก็ตาม ถ้าทำแล้ว ถ้าคิดแล้ว ถ้าไปจมอยู่กับมันแล้ว เป็นทุกข์มากขึ้น ให้รู้ไว้เลย...ผิด
ผิดอะไร ... ผิดมรรค ผิดจากศีล ผิดจากสมาธิ ผิดจากปัญญา มันคลาดเคลื่อนจากศีล
คลาดเคลื่อนจากสมาธิ คลาดเคลื่อนจากปัญญา เพราะนั้นผลจึงมีแต่ว่าทุกข์มากขึ้น
ทุกข์สะสมขึ้น ทุกข์ยาวนานขึ้น ทุกข์แนบแน่นขึ้น ทุกข์แข็งแกร่งขึ้น ...นั่นน่ะใช่เลย
ยิ่งทำยิ่งทุกข์ หลับหูหลับตายิ่งทุกข์
"ทำไมไม่สำเร็จสักที" ...นี่ ทุกข์แล้ว
เห็นมั้ย ลองคิดเข้าไปดิ ไปยืนคิด เดินคิด นั่งคิด เมื่อไหร่จะสำเร็จวะ ทุกข์มั้ย
ลองดูดิ๊ ... จะเห็นเลยว่าอะไรเป็นสมุทัย
แล้วยังไม่แก้อีกรึไง หือ
หรือโง่ปานนั้นก็ไม่ต้องว่าอะไรแล้ว ...มันก็จะรู้เลยว่าอันนี้เป็นเหตุให้เกิดทุกข์
แล้วจะไปทำทำไม ... เพราะมันเป็นรูปแบบรึไง หรือเค้าทำกันในโลก หรือเค้าแนะนำให้ทำ
หรือว่ามันต้องทำเพราะถ้าไม่ทำเดี๋ยวคนอื่นเขาว่า ...ก็คือโง่ต่อไปแล้วกัน
แต่ถ้ามันฉลาดแล้ว
มันก็รู้ว่าอันนี้เป็นเหตุให้ทุกข์ จะไปคิดทำไม หือ ถ้านั่งอยู่เฉยๆ แต่ว่ามีความรู้อยู่เห็นอยู่
แล้วก็มีตัวอาการนั่งอยู่ แล้วไม่มีทุกข์ ...แต่ว่าไม่มีความรู้อะไรเลยนะ
ปัญญาปัญแหยะก็ไม่รู้ แยกอะไรก็ไม่ออก อะไรเป็นมรรค อะไรเป็นศีล อะไรเป็นสมาธิ
อะไรคือสงบ อะไรคือหลุดพ้น...ไม่รู้ อะไรคือกิเลส อะไรเป็นเหตุปัจจัย
ไม่รู้อะไรสักอย่าง...มีแต่รู้ว่านั่ง
แต่ขณะที่รู้ว่านั่ง...ให้สังเกตดูว่า
มันว่างๆ มันเบาๆ มันไม่มีอารมณ์อะไรมาข้องแวะ มันไม่ดิ้นรนกระสับกระส่าย
มันไม่ทุรนทุราย ... แต่มันไม่เหมือนกับที่คาดไว้น่ะ แล้วมันก็ไม่ได้ผลเหมือนอย่างที่เคยหวังไว้น่ะ ...จะเชื่ออันไหนดีล่ะ หือ
ตรงเนี้ย
ครูบาอาจารย์อีกแหละที่ต้องคอยมาย้ำ...เพราะเดี๋ยวมันจะเสียศูนย์
เพราะมันพร้อมที่จะเสียศูนย์อยู่แล้ว
บอกแล้วไงว่าสันดานจิตมันเหมือนผู้หญิงที่หอบผ้าหอบผ่อน รอ เมื่อไหร่กูจะไปได้ซะทีนะอยู่นั่นแหละ ...คือมันจะเกินเลย เกินจริงอยู่ตลอด
อะไรที่มันปรากฏอยู่ธรรมดาๆ ณ ปัจจุบันนี้ ..."เซ็งว่ะ มันไม่มีอะไรเลย" ...นั่นน่ะสิ ตรงนี้ ที่มันจะทนอยู่ตรงนี้ไม่ได้
เพราะมันจะหาอะไรที่เลิศกว่า หรือเหนือกว่า ยิ่งกว่า ล้ำกว่า วิจิตรกว่า
พิสดารกว่า มหัศจรรย์กว่า เป็นธรรมมากกว่า ...กระทั่งเป็นธรรมมันยังบอกว่า
ต้องเป็นธรรมที่มากกว่านี้เลย
ทำไม...ธรรมแค่นี้มันไม่พอ...มันเป็นอะไร หือ
มันเป็นโรคอะไร ...มันเป็นโรคตัณหาไง มันกำเริบ มันเป็นโรควิภวตัณหา ความไม่หยุด
ไม่อิ่ม ไม่เต็ม ไม่พอ ... ไม่รู้จักหรือที่จะสะกดคำว่า พ.พาน อ.อ่าง ด.เด็ก สระอี
ไม่เป็น รู้มั้ยว่าอ่านว่ายังไง...“พอดี”
มันมีแต่เกิน...เกินจริง เกินธรรม
เกินเหตุ เกินปัจจุบัน เกินกาย เกินจิต เกินรู้ ...มันชอบอะไรเกินๆ ถ้าไม่เกินแล้วมันรู้สึกไปอวดคนอื่นไม่ได้
ถ้าเขาถามว่าไปวัดมาแล้วได้อะไร ถ้าตอบว่าไม่ได้อะไร หงอยเลย หงอย
แล้วถ้าเขาบอกว่าเขาได้อะไร
เขาอย่างนั้นอย่างนี้ ยิ่งหงอยใหญ่ มันอวดกันไม่ได้นี่ เอาธรรมไปอวดเขาไม่ออก
ถ้าบอกว่าไม่รู้อะไรเลย ไอ้คนที่อยู่ข้างๆ ก็มองค้อน นั่น
ก็เลยเกิดอาการขวนขวายในจิต จะต้องให้ได้ไปแข่งไปอวดเขา เอาความสงบไปอวดเขา
ถึงไม่ได้บอกให้คนรู้ ก็อวดตัวเอง
ทั้งหมดน่ะ มันคลาดเคลื่อนจากธรรม
คลาดเคลื่อนจากองค์มรรค คลาดเคลื่อนจากเป้าหมายของมรรค ...มันกลับเป็นการสะสมพอกพูน
เพิ่มพูน ตัวเรา ของเรา ธรรมของเรา จิตของเรา การปฏิบัติของเรา ผลของเรา
เพราะนั้นที่พระพุทธเจ้าบอกว่า
สิ่งแรกสิ่งต้น เบื้องแรกเบื้องต้น สังโยชน์เบื้องต้น คือ สักกายทิฏฐิ...ละ
วิจิกิจฉา...ละ สีลัพพตปรามาส...ละ
แต่ไปๆ มาๆ ปฏิบัติไป ปฏิบัติมา
...ถ้า “เรา” ไม่ดีขึ้นจะไม่เลิกปฏิบัติ ... เออ มึงเลิกซะเหอะ
อย่าปฏิบัติอย่างนั้นเลย เนี่ย จะออกจาก “เรา” นะ ... แต่ว่าพอจะเลิกก็ไม่กล้าเลิกอีกแล้ว ก็ถ้า
“เรา” ไม่ปฏิบัติ ถ้า"เรา" ทำแล้วไม่หวังผล ไม่ได้ผลอะไรขึ้นมา แล้ว "เรา" จะปฏิบัติทำไม
แน่ะ มันจะเริ่มแล้ว
เริ่มมีเงื่อนไขขึ้นมาให้ติดให้ข้องกับ “เรา” ไม่ยอมให้สูญเสียอะไรที่เป็น “เรา”
อะไรที่ “เรา” จะได้มาหรือไม่ได้มา ...นี่คือความเคยชินในการอยู่กับมัน ใช้กับมัน
จนอเนกชาติมาแล้ว ไม่ต้องนับ ไม่ต้องรันนิ่งนัมเบอร์
เพราะนั้นการที่จะมาแก้นิสัย
การที่จะมาแก้สันดาน ไม่มีอะไรแก้ได้เลย บอกให้ ไม่มีวิธีการอื่น ไม่มีอุบายอื่น
นอกจากมรรค...ศีลสมาธิปัญญา อย่างที่เราพูด ...เชื่อหรือไม่เชื่อไม่รู้ ลองเอา
ต้องลองเอาเอง
ต้องพิสูจน์เอง ว่าลองนั่งเฉยๆ
แล้วไม่เอาอะไรเลย จะไม่ทำอะไรเลย จะรู้ว่านั่ง นอกเหนือจากรู้ว่านั่ง
จะไม่สนใจตามมัน มันจะเสนอแนะ มันจะบ่นจะว่า มันจะเตือนจะบอก มันจะลากจะจูง
มันจะแนะให้ออกจากนั่ง ให้ลืมว่ารู้ว่านั่ง...ไม่เอา ลองดู...แล้วดูผลมันไป
ไม่ได้อะไรหรอก...แต่ไม่ทุกข์นะ
ไม่ได้อะไรหรอก...แต่ไม่มีความอยากหรือความไม่อยากสะสมไปในวันข้างหน้าวันต่อไป ...ให้สังเกตอย่างนี้ เอาตัว เอากาย เอาวาจา เอาจิต เอาใจของตัวเอง
พิสูจน์ทราบด้วยตัวเอง มันจึงจะยอม
ใครยอม...จิต จิตใคร...จิตเรา ... นี้จึงเรียกว่าการอบรมจิตด้วยศีล มันต้องอบรม...อบรม รู้จักเป็นกุลสตรีมั้ย
ถ้าเป็นกุลสตรี ต้องอยู่ในกรอบ อยู่ในบ้าน ... อยู่ ณ ที่นี้
บ้านคืออะไร บ้านคือนี้
นี้คืออยู่ตรงไหน ตรงกายนี้ ปัจจุบันกายนี้ คือกรอบ
จะไปกระโดกกระเดกเที่ยวร่อนเร่ไปมาตามตรอกซอกซอยใด ไม่ไปนะ อย่าตามไปนะ อย่าไปจม
อย่าไปแช่ อย่าไปนอนค้างกับเขานะ มันอันตราย...เดี๋ยวจะเป็นทุกข์
กลับบ้าน ...อบรมด้วยศีล สติ คือกลับบ้าน ...แน่ะ ไปอีกแล้ว ก็อบรม...ศีล...สติ รู้จักบ้านรึยัง ยังไม่รู้ ยังไม่ชัด เออ กลับบ่อยๆ
บ้านตัวเองยังไม่รู้จัก เกิดมาทำไมวะนี่หา มึงไม่มีกายรึไง ฮึ
โยม – ก็มันไม่รู้
พระอาจารย์ – ต้องสอนมัน ต้องเตือนมัน ต้องบอกมัน
ด้วยสติ ถ้าสติยังไม่เอาอยู่ ด่ามันเลย สอนมันซะมั่ง ว่ามันจะคิดไปหาอะไร
พูดกับตัวเอง...เพื่อให้มันกลับ ต้องให้มันกลับ
คือเขาเรียกว่าบางทีต้องหวดด้วยไม้เรียว
แต่อย่าไปด่าคนอื่นนะ เดี๋ยวโดนชก ...ด่าตัวเอง ด่าจิตตัวเอง
แล้วต่อไปก็ไม่ต้องพูด ไม่ต้องเตือนมากแล้ว มันจะรู้ว่าที่ไหนควรอยู่
อยู่แล้วเป็นสุข สุขของมันคือไม่มีเรื่อง ไม่ใช่สุขสบายแบบกินข้าวอิ่มนะ ... แต่สุขแบบไม่มีเรื่อง คือสุขสงบสันติ ไม่มีเรื่อง ไม่เป็นทุกข์
นั่นน่ะ
มันจะต้องฝึกด้วยตัวนี้ก่อนเป็นลำดับแรก คือสติในกาย สติที่อยู่กับปัจจุบันกาย
สติที่อยู่กับปัจจุบันศีล กายคือปกติกายนี่ คำว่าปกติกายนี่คือความหมายของคำว่า
“ศีล”
เพราะนั้นจิตมันก็จะมีศีลเป็นรั้ว
คือกายนั่นเอง เป็นรั้วกางกั้น ไม่ให้มันหลุดเล็ดรอดออกไปในอดีตในอนาคต
สร้างอดีตสร้างอนาคต สร้างเรื่องราวในอดีต สร้างเรื่องราวในอนาคต
แล้วก็ไปจมปลักจมแช่ ไปค้างคืนกับเขา ในอดีตในอนาคต นั่นน่ะ ทั้งๆ
ที่ว่ามันไม่มีจริง
เมื่อใดที่มันรู้จักบ้าน
แล้วก็อยู่ในบ้าน มันจะเห็นว่าบ้านเนี่ย เป็นที่คุ้มกะลาหัว
เป็นที่อยู่แล้วปลอดภัย อยู่แล้วร่มเย็น เห็นมั้ย เมื่อมันอยู่ได้ในระยะหนึ่ง
ชั่วคราวหนึ่งนี่ มันจะเห็นอานิสงส์ของศีล คือมีความร่มเย็น เป็นกลาง
มีความร่มเย็นและเป็นกลาง นี่คืออานิสงส์ของศีล ด้วยอำนาจของสติ ที่เป็นสัมมา
เมื่อมีความร่มเย็นของศีลเกิดขึ้น
รักษาไว้ ต่อเนื่องไว้ สม่ำเสมอไว้ ไม่ต้องไปดิ้นรนขวนขวายหาธรรมที่ยิ่งกว่านี้
ไม่ต้องไปแข่งขันประชันใคร กับนักปฏิบัติ หรือว่าตามตำรา หรือคนนั้นคนนี้ว่า ... มันก็จะพอกพูนอำนาจ อานิสงส์ของศีล ไปตามกำลัง
ถึงบอกว่า ประกอบเหตุอย่างไร
ผลได้อย่างนั้น คือว่าต้องอยู่กับการประกอบเหตุแห่งศีลด้วยการประกอบด้วยสติ
ไม่ได้ประกอบด้วยความอยากนะ
เมื่อประกอบเหตุแห่งศีลด้วยสติ
คือประกอบเหตุด้วยการระลึกรู้ลงที่กาย ซ้ำๆ ซากๆ ต่อเนื่อง ไม่ขาดสาย สม่ำเสมอ เป็นผลลัพธ์...ที่จะทำให้จิตรวมเป็นหนึ่ง จิตตั้งมั่น เป็นกลาง...อยู่ภายใน
ไม่ใช่ไปตั้งอยู่ที่อื่น ไม่ใช่ไปรวมอยู่ที่อื่นนะ รวมแล้วอยู่ภายในนี้
อยู่ภายในกายนี้ เพราะมันอยู่ในกรอบกาย มันจะไปรวมที่ไหนล่ะ มันก็รวมอยู่ในกายนี้
มันก็ตั้งมั่น มั่นคงอยู่ในกายนี้
เมื่อมันตั้งมั่นมั่นคง หมายความว่า
อะไรมากระทบผ่านหู ผ่านตา ผ่านจมูก ผ่านลิ้น ผ่านความคิด ผ่านความจำ
มันจะไม่จับมาเป็นอารมณ์ ... นี่คืออานิสงส์ของสมาธิเริ่มบังเกิดแล้วนะ
คือมันมีความมั่นคง ไม่หวั่นไหว ไม่ส่ายแส่
และก็รักษาไว้ อย่าเพิ่งรีบ
อย่าเพิ่งหาปัญญา...อย่าเพิ่ง "แหม ต้องไปพิจารณาอย่างนั้นอย่างนี้ให้เกิดปัญญา
ตำรานั้นต้องพิจารณากายอย่างนั้นในแง่นั้นมุมนี้" ... ไม่เอาอ่ะ อยู่อย่างนี้ไปก่อน
แล้วก็รู้กับกายไว้ รู้กับกายไว้ จิตก็จะมั่นคงตั้งมั่นขึ้นไปเรื่อยๆๆๆ
จนมันแยกออกชัดเจน
กายอันหนึ่ง...รู้อันหนึ่ง คนละอย่างกัน ... มันเห็นเป็นสองอย่าง มันมีสองอย่าง ...เมื่อมันมีสองอย่างเมื่อไหร่
มันจะมีอาการหนึ่งปรากฏขึ้นมาคืออาการเห็น เหมือนตามันลืมขึ้นข้างใน
แล้วมันเห็นอาการข้างหน้ามัน คืออาการคือกาย...แต่มันจะเห็นในมิติใหม่
มันเห็นในมิติใหม่
มันเห็นกายในมิติใหม่ ...มิติที่ไม่มีความคิด มิติที่ไม่มีความจำมาประกอบ
มิติที่ไม่มีอดีตมาแทรก มิติที่ไม่มีอนาคตมาบอกมาคุม มิติที่ไม่มีภาษา
มิติที่ไม่มีบัญญัติ มิติที่ไม่มีสมมุติ ไม่มีนาม ไม่มีชื่อ
มันจะเป็นมิติที่ เป็นก้อนๆ เป็นกองๆ
อะไรก็ไม่รู้ ตรงเนี้ย เรียกว่า เห็นตามความเป็นจริง
จิตเห็นกายในมิติที่หมดคำพูดความเห็น เพราะนั้นตัวนั้นไม่เรียกว่าจิต แต่ตัวนั้นเรียกว่าใจผู้รู้ผู้เห็น จึงเป็นแค่ดวงจิตดวงใจผู้...รู้ผู้เห็น
แล้วมันเห็นกาย เห็นสภาพกาย
เห็นสภาวะกายตามความเป็นจริง ...ตัวที่เห็นสภาวะกาย
สภาวธรรมของกายตามความเป็นจริงนั้น เรียกว่า ญาณทัสสนะ
แต่เมื่อใดเวลาใดกำลังของสติ
ความตั้งมั่นอยู่กับปัจจุบันกายน้อย อ่อน หมด สภาวะญาณทัสสนะ เสื่อม คลาย จาง หาย
อันนี้เป็นธรรมดาเลย เป็นตามเหตุอันควร เป็นตามปัจจัยอันควรเลย ... ไม่ผิด
แล้วก็ไม่ถูก แต่จริง ...จริงตามธรรม ตามเหตุแห่งธรรมนั้นๆ
เพราะนั้น
ถ้าจะกลับสู่ความเป็นจริงเช่นนี้ เห็นความเป็นจริงอย่างนี้
ต้องประกอบเหตุแห่งศีลสมาธิปัญญาซ้ำอีก ...ไม่มีลัด ไม่มีอุบาย
ไม่มีว่าจะสต๊าฟมันให้ได้คงที่นิรันดร ...ก็ซ้ำๆ ซากๆ วนเวียนอยู่ในศีลสมาธิปัญญา
เป็นตายขายขาดอยู่ในศีลสมาธิปัญญา
ไม่ออกนอก ไม่ลืม ไม่จาง ไม่หาย ไม่ขาด...จากศีลสมาธิปัญญา
เมื่อใด นั่นแหละเรียกว่าการประกอบเหตุแห่งศีลสมาธิปัญญานั้นบริบูรณ์ เต็ม...เต็มเม็ดเต็มหน่วย
เต็มที่เต็มทาง เต็มฐาน แล้ว จึงจะเกิดคำว่า มหาสติ มหาสมาธิ และมหาปัญญา
ถ้าถึงขั้นมหาสติ มหาสมาธิ มหาปัญญา
หมายความว่า ดวงจิตผู้รู้นี้ ถูกหล่อหลอม ถูกควบคุม
ถูกอบรมด้วยศีลสมาธิปัญญาแบบเต็มที่ ...จึงเกิดภาวะที่เรียกว่า ศีลสมาธิปัญญานี่
มันกลายเป็นหนึ่งเดียวกันกับใจ
เมื่อมันเป็นหนึ่งเดียวกันกับใจ
หมายความว่า ดวงจิตดวงใจผู้รู้ผู้เห็นนั้น จะมีอาการรู้เห็นเป็นอัตโนมัติ ...เหมือนเป็นอัตโนมัติ
ไม่ปราศจากการรู้และการเห็นแม้แต่ขณะใดขณะหนึ่ง แปลว่า
ไม่สามารถปรากฏหรือบังเกิดสภาวธรรม สภาวะจิตที่เรียกว่า “ไม่รู้” ได้เลย
เพราะมันจะอยู่ด้วยองค์แห่งความรู้และเห็นตลอดเวลา
ตรงนี้ จิตนี้
ลักษณะธรรมตรงนี้ที่ท่านเรียกว่า "รัตตัญญู" คำว่า รัตตัญญู แปลว่าอะไร แปลว่า
เป็นผู้ที่ ไม่มีกลางค่ำกลางคืนน่ะ คือเป็นผู้ที่ไม่หลับ ไม่มีเวลาหลับ นอนก็นอนไป
แต่จิตไม่นอน จิตไม่หลับ คือไม่หลง ไม่หาย ทั้งๆ ที่ว่าอาสวะยังไม่หมดนะ
แต่ด้วยอำนาจของศีลสมาธิปัญญา...ที่ยิ่ง ที่เป็นอธิ ที่เป็นมหา
มันจะเกิดเป็นอธิ เป็นมหา ได้อย่างไร ... เพราะความพากเพียร ณ ทุกปัจจุบันไป
หลง ลืม...รู้ใหม่
หลง ลืม...รู้ใหม่
หลง
ลืม...รู้ใหม่
(มีต่อ แทร็ก 10/8)