พระอาจารย์
10/37 (560412C)
(แทร็กชุดต่อเนื่อง)
12 เมษายน 2556
(ช่วง 2)
(หมายเหตุ : ต่อจากแทร็ก 10/37 ช่วง 1
แล้วก็จะเห็นการเกิดการดับของแต่ละชิ้นๆๆ มันไม่สามารถจะรวมกันเป็นก้อนจนจิตนี่มาหมายว่าเป็นตัวเราได้เลย ...เชื่อมั้ยล่ะ ...ไปทำเอาเอง
พระพุทธเจ้าท่านบอกว่า ท้าพิสูจน์ความจริงนี้
เพราะยังไงๆ ก็บอกว่าให้ท้าพิสูจน์เลย ...สองพันปีก็แล้ว ห้าพันปีก็แล้ว จนหมดศาสนาไปแล้วก็ตาม จนมีพระพุทธเจ้ามาเกิดใหม่อีกหมื่นปีล้านปีข้างหน้า ท่านก็ยังมาให้ท้าความจริงอย่างนี้
เพราะนี่เป็นความจริงที่ไม่มีอะไรลบล้างและปิดบังได้ ...ท่านถึงท้าพิสูจน์...ปัจจัตตัง เวทิตตัพโพ วิญญูหิติ ...แต่พวกเราไม่ค่อยพิสูจน์ความจริงนี้ ขี้เกียจพิสูจน์กัน
มันชอบไปพิสูจน์ว่า ไอ้คนนั้นมันทำอย่างนั้นถูกไหม ไอ้การกระทำของมันนี่จริงรึเปล่า พูดถูกรึเปล่า สมควรจะพูดรึเปล่า ...นี่ มันจะไปหาความจริงอยู่ตรงนั้นน่ะ
มันชอบไปพิสูจน์ว่า ไอ้คนนั้นมันทำอย่างนั้นถูกไหม ไอ้การกระทำของมันนี่จริงรึเปล่า พูดถูกรึเปล่า สมควรจะพูดรึเปล่า ...นี่ มันจะไปหาความจริงอยู่ตรงนั้นน่ะ
อันนี้ไม่ควร ...เขาเรียกว่าหาเรื่อง
จิตหาเรื่อง หาเรื่องอะไร..หาเรื่องทุกข์ หาเรื่องอะไร..หาเรื่องเจ็บตัว
หาเรื่องอะไร..หาเรื่องวนเวียนซ้ำซาก ผูกพันไม่จบสิ้น ชอบหาเรื่องอย่างนี้
ไม่ยอมหมดเรื่อง
แต่ถ้ามาหาเรื่องภายในนี่ ...เออ
เดี๋ยวได้เรื่อง แต่ได้เรื่องคือผลของมรรคนะ...นี่ เข้าใจ อ๋อ มันอย่างนี้เอง เข้าใจแล้วๆ ...วาง
เข้าใจแล้ว..วางเลย
ไม่ใช่เข้าใจแบบ...ฮึ่ม มึงทำกับกูอย่างนี้ มึงต้องตาย กูเข้าใจแล้วที่มึงพูดนี่ มึงหาทางใส่ร้ายกูใช่ไหม แน่ะ ตายแน่มึง ...เนี่ย
มันจะมีผลของมันอย่างงั้นน่ะ
คือจิตมันชอบจะหาเรื่องในการกระทำคำพูดของบุคคลอื่นนะ
ตลอดเวลา ทั้งวันน่ะ...มันจะทุกข์กับเรื่องนี้ เชื่อมั้ย แล้วก็ของตัวเองด้วย
แล้วก็ของตัวเองในอดีตที่ถูกเขากระทำด้วย
แล้วก็วนเวียนๆ อยู่อย่างนั้นน่ะ ...แล้ววันนี้ตื่นขึ้นมานี่ ตื่นขึ้นมาในวันนี้ กูจะเจออะไร หือ เดี๋ยวรอเลย
เดี๋ยวคนนั้นคนนี้ เดี๋ยวจะต้องอย่างนั้นแน่ๆ เลย เดี๋ยวเราจะต้องเจออย่างนั้น
เตรียมทุกข์ไว้ล่วงหน้าเสร็จสรรพเลยนะจิต
สันดานของจิต เป็นอย่างนี้ ...ทั้งๆ ที่ว่าทุกข์ยังไม่ทันเกิดเลยนะ
แต่กูสามารถสร้างอนาคตทุกข์ให้มึงได้เลย
แล้วยังคบหาเป็นเพื่อนเป็นสหายกันอยู่อีกกับจิตน่ะ
...ทำไมไม่ละ ทำไมไม่วาง ทำไมไม่ต่างคนต่างอยู่กันซะบ้าง
ทำไมไม่อยู่กันแบบฉันมิตรหรือสันติซะบ้าง...สันติกับมันนะ คือเป็นกลางกับมันน่ะ
คราวนี้ว่า บอกแล้วไงว่า
จะเป็นกลางกับมันลอยๆ นี่ไม่ได้ ...เราจะต้องมีที่ตั้ง ที่หมาย ที่มั่น เหมือนบังเกอร์
ที่อยู่ หรือหลัก..เป็นหลักเป็นฐาน ไม่งั้นน่ะโดนบอมบ์เละ
ผู้รู้น่ะเละ กายก็เละ...สลายหายหมด
ทั้งวันหายหมด กายไม่มีเลย...มีแต่เรา มีแต่ตัวเรา ...ตัวกายอยู่ไหนไม่รู้
ช่างหัวมันเถอะ ขอให้มีตัวเราอยู่นี่ใช้ได้ ด่าคนได้
แล้วมันอาศัย “เรา” น่ะเป็นที่อยู่นะ
เป็นมาตรฐานของการดำรงชีวิตเลย...ได้ไง อยู่ได้ยังไงน่ะกับความไม่จริงล้วนๆ นั่น
มันจะไม่ทุกข์ได้ยังไง มันจะหมดทุกข์ได้ยังไง มันจะออกจากทุกข์ได้ยังไง...ไม่มีทาง
เพราะนั้นจะเปลี่ยนจากฐานที่มั่นของตัวเรา
เรื่องของเรานี่...ก็มาอยู่ที่ตัวกายซะ ...ให้มันรู้จักว่า ไม่มีตัวเรา..ตัวกายก็มี ...แต่เมื่อใดที่มี “ตัวเรา” น่ะ ไม่มีตัวกาย ...เออ มันบังๆ
บังจนมิดเลยน่ะ
ก็อย่าท้อ ...เพราะของจริงมีอยู่ ไม่ต้องหา
แค่หยั่งลงไปก็เจอแล้ว..ไม่ความรู้สึกทางส้นตีนก็ความรู้สึกทางหัวทางหน้า ถ้ายืนอยู่นี่ ความรู้สึกมันหนักตรงไหนล่ะ
ตรงตีนกระทบพื้นน่ะ มันตึงๆ แข็งๆ น่ะ
หยั่งลงไว้ คอยหยั่งไว้ นี่ ตัวกูอยู่นี่นะ ตัวกายอยู่ตรงนี้ ...ไอ้ตัวเราอยู่ไหนไม่รู้ ช่างหัวมัน โคตรพ่อโคตรแม่มันจะไปไหน ไม่ต้องไปหา ไม่ต้องไปตามมันเลย
แต่เอาตัวกายไว้ เอามาคอยเป็นไม้กันผี เป็นยันต์กันผี ...ไม่ต้องห้อยพระหรอก ห้อยศีลนี่แหละ เอาศีลนี่เป็นยันต์กันผี ...หรือเอาความจริงน่ะมากันความไม่จริงไว้ก่อน
แม้มันยังไม่เชื่อร้อยเปอร์เซ็นต์ว่าเป็นของจริงนะ มันยัง ๙๙.๙๙๙๙ มันเชื่อว่า "ตัวเรา" น่ะจริง...จิตนะ ...ส่วนไอ้ตัวกายนี่ เออๆ อาจารย์บอกให้ดูก็ดูไว้ก่อน
พระพุทธเจ้าว่าศีลดี เออ ก็เชื่ออันนี้...โดยศรัทธา พยายามรั้งไว้ดึงไว้ ...จึงเรียกว่าศรัทธาเป็นกำลัง หรือเป็นฐานตัวแรกของอินทรีย์หรือพละ ๕ …ศรัทธา วิริยะ สติ สมาธิ ปัญญา
หยั่งลงไว้ คอยหยั่งไว้ นี่ ตัวกูอยู่นี่นะ ตัวกายอยู่ตรงนี้ ...ไอ้ตัวเราอยู่ไหนไม่รู้ ช่างหัวมัน โคตรพ่อโคตรแม่มันจะไปไหน ไม่ต้องไปหา ไม่ต้องไปตามมันเลย
แต่เอาตัวกายไว้ เอามาคอยเป็นไม้กันผี เป็นยันต์กันผี ...ไม่ต้องห้อยพระหรอก ห้อยศีลนี่แหละ เอาศีลนี่เป็นยันต์กันผี ...หรือเอาความจริงน่ะมากันความไม่จริงไว้ก่อน
แม้มันยังไม่เชื่อร้อยเปอร์เซ็นต์ว่าเป็นของจริงนะ มันยัง ๙๙.๙๙๙๙ มันเชื่อว่า "ตัวเรา" น่ะจริง...จิตนะ ...ส่วนไอ้ตัวกายนี่ เออๆ อาจารย์บอกให้ดูก็ดูไว้ก่อน
พระพุทธเจ้าว่าศีลดี เออ ก็เชื่ออันนี้...โดยศรัทธา พยายามรั้งไว้ดึงไว้ ...จึงเรียกว่าศรัทธาเป็นกำลัง หรือเป็นฐานตัวแรกของอินทรีย์หรือพละ ๕ …ศรัทธา วิริยะ สติ สมาธิ ปัญญา
ถ้าไม่มีศรัทธานะ
วิริยะที่จะพากเพียรต่อเนื่องมันก็ไม่มี ...เมื่อวิริยะไม่มี สติ-สมาธิ-ปัญญานี่...ไม่ต้องถาม มีแต่ “เรา” จนตาย...แล้วก็เกิดกับ “เรา” นั่น
แล้วก็เราก็พาเกิด แล้วเราก็พาทำงาน
แล้วเราก็พาคิดพาปรุง แล้วก็เราก็พาไปหาด่าหาชมคน พาไปหาความสุข ..."เรา" เป็นผู้ดำเนินการเสร็จสรรพ เป็นนอมินีของขันธ์นี้เลย
โดยกลายเป็นว่าขันธ์นี้อยู่ใต้อำนาจของ "เรา" ...แล้วแต่ “เรา” จะพามันไป-พามันมา เป็นข้าทาสบริวารมันจนวันตาย แล้วเกิดใหม่...ก็
ปึ้บนี่ อยู่ในกรงขัง อุ้งมืออุ้งตีนของ "เรา"
น่าเบื่อนะ...แต่มันไม่เห็นไง
มันเลยไม่เบื่อ …แต่ถ้าผู้ใดเห็นแล้วนี่
มันจะเบื่อ เบื่อแล้ว กูลาจากแล้ว ขอลาออกแล้ว พอได้กุญแจเปิดประตู...กรงขังก็เปิดออกแล้ว
แต่พวกเรายังหาไม่เจอ ...อย่าว่าแต่จะหากุญแจเลย มันยังไม่รู้ด้วยนะว่าอยู่ในกรงขัง ...ไอ้นี่แหละปัญหาใหญ่เลย เพราะมันไม่รู้ด้วยซ้ำว่าอยู่ใต้อำนาจของ “เรา”
มันกลับเห็นว่าเรากับทั้งขันธ์...นี่เป็นตัวเดียวกันเลย
เป็นเนื้อเดียวกันเลย สมานกลมเกลียวเป็นเนื้อหนึ่งอันเดียวกัน สมัครสามัคคีกันอย่างยิ่งเลยนะนั่น
แต่เวลาจะตาย มันไม่เห็นสมานกันเลย
หือ เวลาเจ็บ...เราไม่อยากเจ็บ เอ้า เป็นงั้นไป เวลานั่งนาน ปวด...เอ๊ย เราไม่อยากปวดนะเนี่ย
ทำไมเสือกปวดวะ ... เอ้า ตอนแรกไหนสามัคคีกันไง
ไหนว่าเป็นของเรา...แบบขึ้นเหนือลงใต้ ขึ้นเขาลงห้วย ไปด้วยกัน มาด้วยกัน ตายด้วยกันไง ...เอ้า พอไปนั่งนานๆ หรือพอเป็นมะเร็ง
พอเป็นอัมพาต...สั่งไม่ได้ ...อ้าว เรากับขันธ์มันไปกันคนละทางแล้วนะ
ทีนี้ล่ะโกรธแล้วๆ เออ แทนที่จะเกิดปัญญาเข้าใจว่า เขาแสดงความเป็นจริงแล้ว เราก็ควรจะยอมรับความเป็นจริงนี้สิ ...กลับโกรธ หงุดหงิด รำคาญ ไม่พอใจ ด่าว่า ตำหนิ หาทางแก้ไข
ทีนี้ล่ะโกรธแล้วๆ เออ แทนที่จะเกิดปัญญาเข้าใจว่า เขาแสดงความเป็นจริงแล้ว เราก็ควรจะยอมรับความเป็นจริงนี้สิ ...กลับโกรธ หงุดหงิด รำคาญ ไม่พอใจ ด่าว่า ตำหนิ หาทางแก้ไข
เอาเลย ต้องทำยังไงก็ได้ให้มันอยู่ใต้อำนาจของเรา ด้วยความเที่ยง สั่งได้...ชี้นกเป็นนก
ชี้ไม้เป็นไม้ ชี้ปวดเป็นหาย ชี้เมื่อยเป็นหาย ชี้ง่วงเป็นหายง่วง ...เอาอย่างนี้ดิ มันต้องให้ได้งี้ดิ ถ้าไม่ได้ไม่ยอมน่ะ
นี่ มันทุกข์จนกระทั่งลมหายใจสุดท้ายดับ เพราะความไม่รู้ของเรานั่นเอง ...ถ้าไม่รีบแก้ไข ถ้าไม่รีบภาวนา ถ้าไม่รีบสร้างภูมิปัญญาขึ้น ก็ตายเกะกะอยู่ในโลก เหมือนกับคนในโลกทั้งหลาย
เหมือนไม้ฟืนไม้ไผ่ที่ล้มตายระเนระนาด ไร้ค่าไร้ราคา อย่างมากก็แค่ทำฟืน ไม่ควรค่าแก่การบูชายกย่องเป็นอัญชุลีกรณีโยเลย ...ตัวเองมันยังเคารพตัวเองกันไม่ได้ ยังไม่รู้จักตัวเอง ไม่เคารพตัวเอง จะให้ใครมาเคารพได้ หือ
นี่ มันทุกข์จนกระทั่งลมหายใจสุดท้ายดับ เพราะความไม่รู้ของเรานั่นเอง ...ถ้าไม่รีบแก้ไข ถ้าไม่รีบภาวนา ถ้าไม่รีบสร้างภูมิปัญญาขึ้น ก็ตายเกะกะอยู่ในโลก เหมือนกับคนในโลกทั้งหลาย
เหมือนไม้ฟืนไม้ไผ่ที่ล้มตายระเนระนาด ไร้ค่าไร้ราคา อย่างมากก็แค่ทำฟืน ไม่ควรค่าแก่การบูชายกย่องเป็นอัญชุลีกรณีโยเลย ...ตัวเองมันยังเคารพตัวเองกันไม่ได้ ยังไม่รู้จักตัวเอง ไม่เคารพตัวเอง จะให้ใครมาเคารพได้ หือ
มันก็กลายเป็นก้อนดินก้อนฟืนที่มันเน่าเปื่อยไป
ผุพังไปตามสภาพ หมดราคาไป มีแต่คนเบือนหน้าหนี ...ไหนว่ารักไง รักกันปานจะกลืนกินเลยนะ
อยู่กินนอนกันมาจวบเท่าชีวิต พอตายไปแล้ว
ให้ไปนอนกันจนตายไปในโลงด้วยกัน...ก็ไม่มีใครไป ...มันเหม็น มันเน่า มันไม่น่าดู
มันน่าเกลียด มันมีแต่ปฏิกูล
ไหนว่าเป็นของกันและกัน โกหกน่ะ
จิตนี่โกหกตลอดเวลาเลย สับปลับ ปลิ้นปล้อน ...ก็ปากก็ยังพูดอยู่นะว่ารัก
พอร่างกายเริ่มเสื่อมสภาพ แปรสภาพ หรือเริ่มจะตาย ...แหวะ อย่ามาใกล้ฉันนะ
มันตอแหล จิตน่ะ …แล้วเราก็ยังตกอยู่ใต้อำนาจของมัน
ที่มันจะสร้างความคิดความเห็นต่างๆ นานา มาล่อหลอก ...แล้วก็เชื่อมันทุกกระบวนท่าเลย
เนี่ย เราถึงบอกอยู่เสมอ
ไม่กลัวจะโกรธเลยว่า ...เหมือนควายถูกจูงจมูก แล้วแต่ว่ามันจะพาไปกินน้ำบ่อไหน
แล้วแต่ว่ามันจะพาไปกินหญ้าหรือกินข้าว
หรือจะไปกินข้าวนาปี
หรือจะไปกินข้าวนาปลัง จะไปกินข้าวสาร หรือจะไปกินข้าวสุก หรือจะไปกินข้าวเปลือก …แล้วแต่เขาจะพาไปนะ
นี่ เหมือนควายให้เขาลากไป แล้วเขาก็พาเข้าไปโรงเชือด
...มันปลดแอกไม่ได้ มันออกจากสายตะพายไม่ได้ ...ไอ้ที่เขาสนตะพายจมูกน่ะ
มันออกไม่ได้
เพราะนั้น...ต้องเร่งรัด ขวนขวาย
ทำงานพากเพียรอยู่ภายใน วิจยะธาตุวิจยะขันธ์...ด้วยสติ ด้วยปัญญา ด้วยความถ่องแท้
ด้วยความชัดเจน
แล้วมันก็จะเห็นทางเล็ดรอดออกจากขันธ์
ออกจากโลก ออกจากทุกข์ โดยสะดวกต่อไป
จบ เท่านี้แหละ พอแล้ว
เดี๋ยวมันง่วงอีก เดี๋ยวมันจะเตรียมง่วงกันต่อ เอ้า พอ ...ไม่ต้องถามน่ะ รู้อย่างเดียว
รู้ว่านั่งอย่างเดียว ...อย่าไปถาม อย่าไปสงสัย อย่าไปฟื้นฝอยหาตะเข็บ เหมือนเย็บผ้าแล้วไม่ยอมจบ
จบแล้วก็จบ ช่างหัวมัน อย่าไปฟื้น …จะผ่าน จะไม่เคยผ่าน จะเข้าใจมัน-ไม่เข้าใจมัน จบไปแล้ว The end ต้องจบ จิตจะต้องจบกับมันซะ ให้มันมาจบอยู่กับปัจจุบัน
จบแล้วก็จบ ช่างหัวมัน อย่าไปฟื้น …จะผ่าน จะไม่เคยผ่าน จะเข้าใจมัน-ไม่เข้าใจมัน จบไปแล้ว The end ต้องจบ จิตจะต้องจบกับมันซะ ให้มันมาจบอยู่กับปัจจุบัน
แล้วก็...เออ ความจริงมีอยู่แค่นี้
กำลังนั่ง ให้จิตมันรู้อยู่แค่นั่งนี่ พอแล้ว อย่าเกินนี้ไป ...ไม่ต้องสงสัย
ถูกก็ช่างหัวมัน ผิดก็ช่างหัวมัน ...ไม่ได้มรรคได้ผลกับถูกหรือผิดหรอก
แต่ตรงนี้ได้มรรค กำลังทำมรรค
เจริญมรรค เจริญเหตุแห่งมรรค เดี๋ยวผลมาเอง ...แต่ไปหาถูกหาผิดน่ะไม่ใช่มรรค
ออกนอกมรรค ฟุ้งซ่าน เรียกว่าจิตฟุ้งซ่าน มันลังเลสงสัย เหลาะแหละโลเล
หาความแน่นอนไม่ได้
ไม่ต้องไปหาความจริงอะไรกับมันหรอก เพราะมันไม่มีอะไรจริงเลยในนั้น ทั้งในอดีตและในอนาคต ไม่มีอะไรหรอกจริง …แต่ตรงนี้ นั่งอยู่นี่...จริงมั้ย แข็งนี่จริงมั้ย ขยับนี่จริงมั้ย
ไม่ต้องไปหาความจริงอะไรกับมันหรอก เพราะมันไม่มีอะไรจริงเลยในนั้น ทั้งในอดีตและในอนาคต ไม่มีอะไรหรอกจริง …แต่ตรงนี้ นั่งอยู่นี่...จริงมั้ย แข็งนี่จริงมั้ย ขยับนี่จริงมั้ย
โยม – จริงค่ะ
พระอาจารย์ – เออ เขาแสดงความจริงใช่มั้ย
เขากำลังสอนเราอยู่นะ เขากำลังเทศน์ให้ฟังอยู่นะ เขาแสดงธรรมให้ดู ...ทำไมไม่ฟัง
ไม่ดู ไม่น้อมธรรม ไม่เคารพธรรม
ไม่ศึกษาธรรม ไม่สำเหนียกธรรม ไม่เข้าใจธรรม ก็เลยไม่เกิดปัญญา
มัวแต่ไปหาธรรมจากความสงสัยและลังเล มันไม่มีอะไรหรอก ...หมดเรื่องนั้นก็มีเรื่องนี้ หมดเรื่องนี้มีเรื่องโน้น หมดเรื่องโน้นก็มีเรื่องนู้นต่อ...ไร้สาระ
เอ้า พอแล้ว
.............................