วันพุธที่ 7 ธันวาคม พ.ศ. 2559

แทร็ก 10/37 (2)


พระอาจารย์
10/37 (560412C)
(แทร็กชุดต่อเนื่อง)
12 เมษายน 2556
(ช่วง 2)


(หมายเหตุ  :  ต่อจากแทร็ก 10/37  ช่วง 1

พระอาจารย์ –  แต่มรรคนี่ ที่เข้าไปไต่สวนทวนความไปเรื่อยๆ  ด้วยวิจยธรรม ด้วยการเฝ้ารู้ดูเห็น ในปัจจุบันกายปัจจุบันรู้ไปนี่ ...มันจะเกิดช่องว่าง แยกออก เป็นชิ้นๆๆๆ

แล้วก็จะเห็นการเกิดการดับของแต่ละชิ้นๆๆ  มันไม่สามารถจะรวมกันเป็นก้อนจนจิตนี่มาหมายว่าเป็นตัวเราได้เลย ...เชื่อมั้ยล่ะ ...ไปทำเอาเอง พระพุทธเจ้าท่านบอกว่า ท้าพิสูจน์ความจริงนี้

เพราะยังไงๆ ก็บอกว่าให้ท้าพิสูจน์เลย ...สองพันปีก็แล้ว ห้าพันปีก็แล้ว จนหมดศาสนาไปแล้วก็ตาม จนมีพระพุทธเจ้ามาเกิดใหม่อีกหมื่นปีล้านปีข้างหน้า ท่านก็ยังมาให้ท้าความจริงอย่างนี้

เพราะนี่เป็นความจริงที่ไม่มีอะไรลบล้างและปิดบังได้ ...ท่านถึงท้าพิสูจน์...ปัจจัตตัง เวทิตตัพโพ วิญญูหิติ ...แต่พวกเราไม่ค่อยพิสูจน์ความจริงนี้ ขี้เกียจพิสูจน์กัน 

มันชอบไปพิสูจน์ว่า ไอ้คนนั้นมันทำอย่างนั้นถูกไหม ไอ้การกระทำของมันนี่จริงรึเปล่า พูดถูกรึเปล่า สมควรจะพูดรึเปล่า ...นี่ มันจะไปหาความจริงอยู่ตรงนั้นน่ะ

อันนี้ไม่ควร ...เขาเรียกว่าหาเรื่อง จิตหาเรื่อง หาเรื่องอะไร..หาเรื่องทุกข์ หาเรื่องอะไร..หาเรื่องเจ็บตัว หาเรื่องอะไร..หาเรื่องวนเวียนซ้ำซาก ผูกพันไม่จบสิ้น ชอบหาเรื่องอย่างนี้ ไม่ยอมหมดเรื่อง

แต่ถ้ามาหาเรื่องภายในนี่ ...เออ เดี๋ยวได้เรื่อง แต่ได้เรื่องคือผลของมรรคนะ...นี่ เข้าใจ  อ๋อ มันอย่างนี้เอง เข้าใจแล้วๆ ...วาง เข้าใจแล้ว..วางเลย 

ไม่ใช่เข้าใจแบบ...ฮึ่ม มึงทำกับกูอย่างนี้ มึงต้องตาย กูเข้าใจแล้วที่มึงพูดนี่ มึงหาทางใส่ร้ายกูใช่ไหม แน่ะ ตายแน่มึง ...เนี่ย มันจะมีผลของมันอย่างงั้นน่ะ

คือจิตมันชอบจะหาเรื่องในการกระทำคำพูดของบุคคลอื่นนะ ตลอดเวลา ทั้งวันน่ะ...มันจะทุกข์กับเรื่องนี้ เชื่อมั้ย แล้วก็ของตัวเองด้วย แล้วก็ของตัวเองในอดีตที่ถูกเขากระทำด้วย

แล้วก็วนเวียนๆ อยู่อย่างนั้นน่ะ ...แล้ววันนี้ตื่นขึ้นมานี่ ตื่นขึ้นมาในวันนี้ กูจะเจออะไร หือ เดี๋ยวรอเลย เดี๋ยวคนนั้นคนนี้ เดี๋ยวจะต้องอย่างนั้นแน่ๆ เลย เดี๋ยวเราจะต้องเจออย่างนั้น

เตรียมทุกข์ไว้ล่วงหน้าเสร็จสรรพเลยนะจิต สันดานของจิต เป็นอย่างนี้ ...ทั้งๆ ที่ว่าทุกข์ยังไม่ทันเกิดเลยนะ แต่กูสามารถสร้างอนาคตทุกข์ให้มึงได้เลย

แล้วยังคบหาเป็นเพื่อนเป็นสหายกันอยู่อีกกับจิตน่ะ ...ทำไมไม่ละ ทำไมไม่วาง ทำไมไม่ต่างคนต่างอยู่กันซะบ้าง ทำไมไม่อยู่กันแบบฉันมิตรหรือสันติซะบ้าง...สันติกับมันนะ คือเป็นกลางกับมันน่ะ

คราวนี้ว่า บอกแล้วไงว่า จะเป็นกลางกับมันลอยๆ นี่ไม่ได้ ...เราจะต้องมีที่ตั้ง ที่หมาย ที่มั่น เหมือนบังเกอร์ ที่อยู่ หรือหลัก..เป็นหลักเป็นฐาน ไม่งั้นน่ะโดนบอมบ์เละ

ผู้รู้น่ะเละ กายก็เละ...สลายหายหมด ทั้งวันหายหมด กายไม่มีเลย...มีแต่เรา มีแต่ตัวเรา ...ตัวกายอยู่ไหนไม่รู้ ช่างหัวมันเถอะ ขอให้มีตัวเราอยู่นี่ใช้ได้ ด่าคนได้ 

แล้วมันอาศัย “เรา” น่ะเป็นที่อยู่นะ เป็นมาตรฐานของการดำรงชีวิตเลย...ได้ไง อยู่ได้ยังไงน่ะกับความไม่จริงล้วนๆ นั่น มันจะไม่ทุกข์ได้ยังไง มันจะหมดทุกข์ได้ยังไง มันจะออกจากทุกข์ได้ยังไง...ไม่มีทาง

เพราะนั้นจะเปลี่ยนจากฐานที่มั่นของตัวเรา เรื่องของเรานี่...ก็มาอยู่ที่ตัวกายซะ ...ให้มันรู้จักว่า ไม่มีตัวเรา..ตัวกายก็มี ...แต่เมื่อใดที่มี “ตัวเรา” น่ะ ไม่มีตัวกาย ...เออ มันบังๆ บังจนมิดเลยน่ะ

ก็อย่าท้อ ...เพราะของจริงมีอยู่ ไม่ต้องหา แค่หยั่งลงไปก็เจอแล้ว..ไม่ความรู้สึกทางส้นตีนก็ความรู้สึกทางหัวทางหน้า ถ้ายืนอยู่นี่ ความรู้สึกมันหนักตรงไหนล่ะ ตรงตีนกระทบพื้นน่ะ มันตึงๆ แข็งๆ น่ะ 

หยั่งลงไว้ คอยหยั่งไว้ นี่ ตัวกูอยู่นี่นะ ตัวกายอยู่ตรงนี้ ...ไอ้ตัวเราอยู่ไหนไม่รู้ ช่างหัวมัน โคตรพ่อโคตรแม่มันจะไปไหน ไม่ต้องไปหา ไม่ต้องไปตามมันเลย

แต่เอาตัวกายไว้ เอามาคอยเป็นไม้กันผี เป็นยันต์กันผี ...ไม่ต้องห้อยพระหรอก ห้อยศีลนี่แหละ เอาศีลนี่เป็นยันต์กันผี ...หรือเอาความจริงน่ะมากันความไม่จริงไว้ก่อน 

แม้มันยังไม่เชื่อร้อยเปอร์เซ็นต์ว่าเป็นของจริงนะ มันยัง ๙๙.๙๙๙๙ มันเชื่อว่า "ตัวเรา" น่ะจริง...จิตนะ ...ส่วนไอ้ตัวกายนี่ เออๆ อาจารย์บอกให้ดูก็ดูไว้ก่อน

พระพุทธเจ้าว่าศีลดี เออ ก็เชื่ออันนี้...โดยศรัทธา พยายามรั้งไว้ดึงไว้ ...จึงเรียกว่าศรัทธาเป็นกำลัง หรือเป็นฐานตัวแรกของอินทรีย์หรือพละ ๕ ศรัทธา วิริยะ สติ สมาธิ ปัญญา

ถ้าไม่มีศรัทธานะ วิริยะที่จะพากเพียรต่อเนื่องมันก็ไม่มี ...เมื่อวิริยะไม่มี  สติ-สมาธิ-ปัญญานี่...ไม่ต้องถาม  มีแต่ “เรา” จนตาย...แล้วก็เกิดกับ “เรา” นั่น

แล้วก็เราก็พาเกิด แล้วเราก็พาทำงาน แล้วเราก็พาคิดพาปรุง แล้วก็เราก็พาไปหาด่าหาชมคน พาไปหาความสุข ..."เรา" เป็นผู้ดำเนินการเสร็จสรรพ เป็นนอมินีของขันธ์นี้เลย

โดยกลายเป็นว่าขันธ์นี้อยู่ใต้อำนาจของ "เรา" ...แล้วแต่ “เรา” จะพามันไป-พามันมา เป็นข้าทาสบริวารมันจนวันตาย แล้วเกิดใหม่...ก็ ปึ้บนี่ อยู่ในกรงขัง อุ้งมืออุ้งตีนของ "เรา"

น่าเบื่อนะ...แต่มันไม่เห็นไง มันเลยไม่เบื่อ แต่ถ้าผู้ใดเห็นแล้วนี่ มันจะเบื่อ เบื่อแล้ว กูลาจากแล้ว ขอลาออกแล้ว พอได้กุญแจเปิดประตู...กรงขังก็เปิดออกแล้ว

แต่พวกเรายังหาไม่เจอ ...อย่าว่าแต่จะหากุญแจเลย มันยังไม่รู้ด้วยนะว่าอยู่ในกรงขัง ...ไอ้นี่แหละปัญหาใหญ่เลย เพราะมันไม่รู้ด้วยซ้ำว่าอยู่ใต้อำนาจของ “เรา”

มันกลับเห็นว่าเรากับทั้งขันธ์...นี่เป็นตัวเดียวกันเลย เป็นเนื้อเดียวกันเลย สมานกลมเกลียวเป็นเนื้อหนึ่งอันเดียวกัน สมัครสามัคคีกันอย่างยิ่งเลยนะนั่น 

แต่เวลาจะตาย มันไม่เห็นสมานกันเลย หือ เวลาเจ็บ...เราไม่อยากเจ็บ เอ้า เป็นงั้นไป  เวลานั่งนาน ปวด...เอ๊ย เราไม่อยากปวดนะเนี่ย ทำไมเสือกปวดวะ ...เอ้า ตอนแรกไหนสามัคคีกันไง

ไหนว่าเป็นของเรา...แบบขึ้นเหนือลงใต้ ขึ้นเขาลงห้วย ไปด้วยกัน มาด้วยกัน ตายด้วยกันไง ...เอ้า พอไปนั่งนานๆ หรือพอเป็นมะเร็ง พอเป็นอัมพาต...สั่งไม่ได้ ...อ้าว เรากับขันธ์มันไปกันคนละทางแล้วนะ 

ทีนี้ล่ะโกรธแล้วๆ เออ แทนที่จะเกิดปัญญาเข้าใจว่า เขาแสดงความเป็นจริงแล้ว เราก็ควรจะยอมรับความเป็นจริงนี้สิ ...กลับโกรธ หงุดหงิด รำคาญ ไม่พอใจ ด่าว่า ตำหนิ หาทางแก้ไข

เอาเลย ต้องทำยังไงก็ได้ให้มันอยู่ใต้อำนาจของเรา ด้วยความเที่ยง สั่งได้...ชี้นกเป็นนก ชี้ไม้เป็นไม้ ชี้ปวดเป็นหาย ชี้เมื่อยเป็นหาย ชี้ง่วงเป็นหายง่วง ...เอาอย่างนี้ดิ มันต้องให้ได้งี้ดิ ถ้าไม่ได้ไม่ยอมน่ะ 

นี่ มันทุกข์จนกระทั่งลมหายใจสุดท้ายดับ เพราะความไม่รู้ของเรานั่นเอง ...ถ้าไม่รีบแก้ไข ถ้าไม่รีบภาวนา ถ้าไม่รีบสร้างภูมิปัญญาขึ้น ก็ตายเกะกะอยู่ในโลก เหมือนกับคนในโลกทั้งหลาย 

เหมือนไม้ฟืนไม้ไผ่ที่ล้มตายระเนระนาด ไร้ค่าไร้ราคา อย่างมากก็แค่ทำฟืน ไม่ควรค่าแก่การบูชายกย่องเป็นอัญชุลีกรณีโยเลย ...ตัวเองมันยังเคารพตัวเองกันไม่ได้ ยังไม่รู้จักตัวเอง ไม่เคารพตัวเอง จะให้ใครมาเคารพได้ หือ

มันก็กลายเป็นก้อนดินก้อนฟืนที่มันเน่าเปื่อยไป ผุพังไปตามสภาพ หมดราคาไป มีแต่คนเบือนหน้าหนี ...ไหนว่ารักไง รักกันปานจะกลืนกินเลยนะ

อยู่กินนอนกันมาจวบเท่าชีวิต พอตายไปแล้ว ให้ไปนอนกันจนตายไปในโลงด้วยกัน...ก็ไม่มีใครไป ...มันเหม็น มันเน่า มันไม่น่าดู มันน่าเกลียด มันมีแต่ปฏิกูล

ไหนว่าเป็นของกันและกัน โกหกน่ะ จิตนี่โกหกตลอดเวลาเลย สับปลับ ปลิ้นปล้อน ...ก็ปากก็ยังพูดอยู่นะว่ารัก พอร่างกายเริ่มเสื่อมสภาพ แปรสภาพ หรือเริ่มจะตาย ...แหวะ อย่ามาใกล้ฉันนะ

มันตอแหล จิตน่ะ แล้วเราก็ยังตกอยู่ใต้อำนาจของมัน ที่มันจะสร้างความคิดความเห็นต่างๆ นานา มาล่อหลอก ...แล้วก็เชื่อมันทุกกระบวนท่าเลย

เนี่ย เราถึงบอกอยู่เสมอ ไม่กลัวจะโกรธเลยว่า ...เหมือนควายถูกจูงจมูก แล้วแต่ว่ามันจะพาไปกินน้ำบ่อไหน แล้วแต่ว่ามันจะพาไปกินหญ้าหรือกินข้าว

หรือจะไปกินข้าวนาปี หรือจะไปกินข้าวนาปลัง จะไปกินข้าวสาร หรือจะไปกินข้าวสุก หรือจะไปกินข้าวเปลือก แล้วแต่เขาจะพาไปนะ 

นี่ เหมือนควายให้เขาลากไป แล้วเขาก็พาเข้าไปโรงเชือด ...มันปลดแอกไม่ได้ มันออกจากสายตะพายไม่ได้ ...ไอ้ที่เขาสนตะพายจมูกน่ะ มันออกไม่ได้ 

เพราะนั้น...ต้องเร่งรัด ขวนขวาย ทำงานพากเพียรอยู่ภายใน วิจยะธาตุวิจยะขันธ์...ด้วยสติ ด้วยปัญญา ด้วยความถ่องแท้ ด้วยความชัดเจน

แล้วมันก็จะเห็นทางเล็ดรอดออกจากขันธ์ ออกจากโลก ออกจากทุกข์ โดยสะดวกต่อไป

จบ เท่านี้แหละ พอแล้ว เดี๋ยวมันง่วงอีก เดี๋ยวมันจะเตรียมง่วงกันต่อ เอ้า พอ ...ไม่ต้องถามน่ะ รู้อย่างเดียว รู้ว่านั่งอย่างเดียว ...อย่าไปถาม อย่าไปสงสัย อย่าไปฟื้นฝอยหาตะเข็บ เหมือนเย็บผ้าแล้วไม่ยอมจบ 

จบแล้วก็จบ ช่างหัวมัน อย่าไปฟื้น จะผ่าน จะไม่เคยผ่าน  จะเข้าใจมัน-ไม่เข้าใจมัน  จบไปแล้ว The end  ต้องจบ จิตจะต้องจบกับมันซะ ให้มันมาจบอยู่กับปัจจุบัน

แล้วก็...เออ ความจริงมีอยู่แค่นี้ กำลังนั่ง ให้จิตมันรู้อยู่แค่นั่งนี่ พอแล้ว อย่าเกินนี้ไป ...ไม่ต้องสงสัย ถูกก็ช่างหัวมัน ผิดก็ช่างหัวมัน ...ไม่ได้มรรคได้ผลกับถูกหรือผิดหรอก

แต่ตรงนี้ได้มรรค กำลังทำมรรค เจริญมรรค เจริญเหตุแห่งมรรค เดี๋ยวผลมาเอง ...แต่ไปหาถูกหาผิดน่ะไม่ใช่มรรค ออกนอกมรรค  ฟุ้งซ่าน เรียกว่าจิตฟุ้งซ่าน มันลังเลสงสัย เหลาะแหละโลเล หาความแน่นอนไม่ได้ 

ไม่ต้องไปหาความจริงอะไรกับมันหรอก เพราะมันไม่มีอะไรจริงเลยในนั้น ทั้งในอดีตและในอนาคต ไม่มีอะไรหรอกจริง แต่ตรงนี้ นั่งอยู่นี่...จริงมั้ย แข็งนี่จริงมั้ย ขยับนี่จริงมั้ย


โยม –  จริงค่ะ

พระอาจารย์ –  เออ เขาแสดงความจริงใช่มั้ย เขากำลังสอนเราอยู่นะ เขากำลังเทศน์ให้ฟังอยู่นะ เขาแสดงธรรมให้ดู ...ทำไมไม่ฟัง ไม่ดู ไม่น้อมธรรม ไม่เคารพธรรม ไม่ศึกษาธรรม ไม่สำเหนียกธรรม ไม่เข้าใจธรรม ก็เลยไม่เกิดปัญญา

มัวแต่ไปหาธรรมจากความสงสัยและลังเล มันไม่มีอะไรหรอก ...หมดเรื่องนั้นก็มีเรื่องนี้ หมดเรื่องนี้มีเรื่องโน้น หมดเรื่องโน้นก็มีเรื่องนู้นต่อ...ไร้สาระ

เอ้า พอแล้ว

.............................




วันอังคารที่ 6 ธันวาคม พ.ศ. 2559

แทร็ก 10/37 (1)


พระอาจารย์
10/37 (560412C)
(แทร็กชุดต่อเนื่อง)
12 เมษายน 2556
(ช่วง 1)


(หมายเหตุ  :  แทร็กนี้แบ่งการโพสต์เป็น  2  ช่วงบทความ)

พระอาจารย์ –  (ถามโยมคนเดิม) ยังง่วงรึเปล่า

โยม –  ไม่ค่ะ


พระอาจารย์ –  มันหายไปไหน

โยม –  ไม่ทราบค่ะ


พระอาจารย์ –  นั่น หายคือหาย ...เรียกให้มันง่วงใหม่สิ สั่งให้มันง่วงซิ ...แล้วจะมาบอกว่า “เราง่วง” ได้ยังไง ...ง่วงก็เป็นง่วง เรื่องของมัน ดับไปแล้วก็ไม่เห็นเป็นไรนี่ ไม่ใช่ของเรานี่

ถ้ามันเป็นของเรา เราก็ตายไปแล้วสิ  ก็นี่ง่วงมันตายไปแล้วนี่ หือ ...แต่เวลาง่วงขึ้นมาก็ว่างเราง่วง ว่าความง่วงนี่เป็นของเรา แล้วมันดูเหมือนสูญเสียอะไรไปไหมเราน่ะ

ทบทวน...อยู่ภายในนี้ อะไรที่มันเนื่องจากนี้ไปนี่ อย่าไปให้ความสำคัญมั่นหมาย ให้ทบทวนอยู่ที่นี้ ก้อนนี้ ...เพื่ออะไร อยากเห็นหน้าตาของเราจริงๆ มันมายังไง มันอยู่ที่ไหนกันแน่

มันว่ากายนี้เป็นตัวของเรานี่หือ มันอยู่ตรงไหนกันแน่ ในเส้นผม ในลูกตา ในหู ในจมูก ในลิ้น ในปาก ในเนื้อในตัว ในหน้าในตา ...ส่วนมากมันว่าหน้าตาของเรานี่ มันอยู่ในหน้าตรงไหน

เอาจนมันไม่เห็น มันไม่สามารถรับได้ว่ามี "เรา" อยู่ในกายนี้น่ะ ...มันเป็นแค่คำกล่าวอ้างขึ้นลอยๆ ของจิตผู้ไม่รู้ ที่เรียกว่าอวิชชาปัจจยาสังขารา...คือจิตสังขาร

แล้วจิตสังขารมันจึงปรุงกายสังขารขึ้นมา คือ “กายเรา” นั่นเอง ...เพราะนั้นตัว “กายเรา” ก็คือกายสังขาร คือกายปรุงแต่งจากจิตผู้ไม่รู้โดยมีโคตรเหง้าคืออวิชชา นั่นน่ะคือ “กายเรา” นั่นน่ะคือคำว่า “ตัวเรา” น่ะ

แล้วตัวกาย...กับตัวเราน่ะะ ดูซิ มันคนละตัวกันยังไง ...ตัวกายคือตัวไหน ตัวแข็ง ตัวนิ่ง ตัวหนัก ตัวไหว ตัวอุ่น ตัวอ้าว ตัวตึง ตัวปวด ตัวขยับ ...นี่คือตัวกาย...ไม่ใช่ “ตัวเรา”

ถ้า “ตัวเรา” คือตัวที่จิตมันสร้าง แล้วก็สร้างตัวขึ้นมาลอยๆ ว่าไอ้ตัวลอยๆ นั่นเป็นตัวของเรา ในความคิดความจำ แล้วมันมั่ว...เอาตัวเรานั้นกับไอ้ตัวกายนี้มาเป็นตัวเดียวกัน ...นี่ โง่  นี่ มั่ว

นี่เขาเรียกว่าคละเคล้า หรือว่าเข้ามาครอบครองถือครองแบบหน้าด้านๆ ด้วยมิจฉาทิฏฐิ ...แล้วนี่เองเป็นเหตุให้เกิดทุกข์ สร้างทุกข์ให้ไม่จบสิ้น พาตัวกายนี่ไปก่อร่างสร้างกุศลบ้าง อกุศลบ้าง

ก็เกิดวิบาก ทางตา ทางหู ทางจมูก ทางลิ้น ทางกาย ทั้งเบียดเบียนตัวเองและเบียดเบียนผู้อื่น แล้วก็ไปให้ผู้อื่นเขาเบียดเบียน ...เหล่านี้เรียกว่าเป็นสมุทัย คือเหตุให้เกิดทุกข์

คือถ้ามันเข้าใจกระบวนการและเห็นกระบวนการนี้ แล้วมันจะตัดตรงกระบวนการไหน มันจะรู้เอง...ที่มันจะไม่เป็นกระบวนการไปสร้างเสริมสนับสนุนให้เกิดสมุทัย คือเหตุให้เกิดทุกข์สืบต่อเนื่องไม่ขาดสาย

จึงว่าให้รู้กายเข้าไว้ รู้ตัวเข้าไว้...เพื่อให้มันชัดเจน ในความเป็นกายตัวจริง ...ไม่ใช่กายตัวเท็จ หรือตัวหลอก หรือตัวเรา หรือตัวตนในความคิด ในอดีต-อนาคต

แล้วมันยังมีตัวเราในปัจจุบันด้วย...ที่มันกลมกลืนกันอยู่  ที่มันยังมาหมายว่าตัวนี้ยังเป็นตัวเรานั่ง ไม่ปล่อยวาง ไม่ยอมรามือ ...นี่คือความดื้อด้านของจิต มันยังเถียงแบบหน้าด้านๆ

นี่แปลว่า สติสมาธิปัญญาอ่อน ด้อย น้อย กำลังไม่มี ...เพราะอะไร ...มันถือตัว มันถือดี มันอวดดี มันครอบครองกายนี้เป็นอเนกชาติว่าเป็นตัวเราของเรา ไม่ยอมปล่อย ไม่ยอมรามือง่ายๆ หรอก

แต่พวกเราพอมาเริ่มปฏิบัติ มันดูได้นิดๆ หน่อยๆ ก็บอก “พักก่อนๆ รอก่อน เดี๋ยวค่อยทำ” ...เนี่ย เขาเรียกว่าพักการพิพากษา พักการพิจารณาคดี..ตลอดเวลา

พอมาเริ่มจะพิจารณาคดี...จับเป็นประเด็นขึ้นมา นี่ เรียกว่าสติในปัจจุบัน จับประเด็นขึ้นมา ตั้งขึ้นโรงศาลมา เพื่อจำแนก เพื่อวิจยธรรม เพื่อค้นคว้า เพื่อไตร่ตรอง เพื่อโยนิโส เพื่อความแยบคาย

นี่ เพื่อเอาเท็จเอาจริง ตีแผ่ความจริงออกมา ...มันกลับผัดวันประกันพรุ่งแล้วก็ขี้เกียจ ทำได้ปล๊อบๆ แปล๊บๆ ไม่เอาแล้ว เหนื่อย เซ็ง ...เหมือนเราไปนั่งฟังศาลพิพากษาถามไปถามมา...หลับเลย

มันน่าเบื่อ ไม่เห็นได้อะไร ไม่มีประโยชน์ ...มันจะว่าอย่างนั้น แรกๆ อ่ะนะ  เพราะมันยังหาความจริงไม่เจอน่ะ อยู่ในระหว่างการค้นหา ...มันก็จะลุกหนีอยู่เรื่อยน่ะ สันดานเดิม

ไอ้การลุกหนี นี่สันดานเดิมของจิตนะ ที่มันคุ้นเคยที่จะเถลไถลน่ะ หรือว่าเพลิดเพลินหลงใหล ลุ่มหลงไปมาในโลก ในอดีต ในอนาคต ในความสุขในอดีต ในความสุขในอนาคตที่จะได้ ที่เราจะได้ครอง

นี่ ยังไงๆ ก็ยังมี “เรา” อยู่ ไม่หายไปไหนหรอก ...เพราะว่าความจริงยังไม่ถูกเปิดเผย มันก็ยังสวมหน้ากากลอยหน้าลอยตาอยู่ในโลก แปดพันล้านคนในโลก ใส่หน้ากากของ “เรา” หมดเลย

แต่ถ้าบุคคลนั้นน่ะ ขึ้นศาลว่าความแบบไม่ท้อถอย ...เอาจนจิตนี่มันโป้ปดมดเท็จไม่ได้ โกหกไม่ได้ จับได้ไล่ทันหมดเลย ...ไม่มีแขนไม่มีขาของเรา ไม่มียืนเดินนั่งนอนเป็นเรา

ไม่มีเราเห็น ไม่มีเราได้ยิน ไม่มีเรากิน ไม่มีเราได้กลิ่น ไม่มีเราได้รสชาตินั้น...ไม่มี “เรา” ...นี่ มันจับได้ไล่ทัน ...จิตจะมาว่า เอ๊ะ นี่เราอร่อยนะ ว่าเราได้กินนะ ว่าเราเห็นนะ ว่าเราได้ยินเขาพูดนะ...ไม่มี

มีแต่หู มีแต่เสียง มีแต่รู้ มีแต่คลื่นเสียงมากระทบแก้วหู...แล้วก็รู้ แล้วก็ดับ คลื่นเสียงนั้นก็ดับไป ...มันมีตรงไหน ส่วนไหนเป็นเรา หือ แม้ในการกิน ในการดื่ม ก็มีแต่น้ำ ก็มีแต่ข้าวปลาอาหาร 

นั่นก็มีแต่รสชาติที่มันมากระทบสัมผัสลิ้น แล้วก็มีความรู้สึกปรากฏขึ้น แล้วก็หายไป  มันมีเราตรงไหนในลิ้นในรสในอาหาร ...เนี่ย มันจับได้ไล่ทันนี่ 

มันจะมาเอ๊อะ มันจะมาครอบงำ มันจะมาบอกว่า...เฮ้ย เราอร่อย แน่ะๆ โกหกน่ะนี่ หน้าด้าน ...ไม่เชื่อ  นี่ทบทวนกัน นี่เขาเรียกว่าไต่สวนมูลฟ้องอยู่ตลอด

มันจะมาอ้างๆ ข้างๆ คูๆ แล้วก็มาถือกรรมสิทธิ์ ว่าเป็นของเรานะ ที่ดินแปลงนี้โฉนดแปลงนี้บ้านหลังนี้ รถคันนี้ เป็นของเรานะ มันจะมาถือกรรมสิทธิ์ ...เอาอะไรมายืนยัน

โกหกได้สามโลกธาตุ แต่โกหกศาลกับผู้พิพากษาคือศีลสมาธิปัญญาไม่ได้ เพราะนี่คือผู้ที่เที่ยงตรงที่สุด...ตรงต่อธรรม ไม่มีนอกไม่มีใน ไม่มีใครมาติดสินบนได้

นี่เที่ยงตรงๆ เป็นผู้พิพากษาที่เที่ยงตรง ไม่มีอะไรเที่ยงตรงกว่ามรรคแล้ว มัชฌิมาปฏิปทานี่ ไม่มีอะไรแล้วมาเที่ยงตรงต่อศีลสมาธิปัญญากว่านี้แล้ว

นอกนั้นมันจะตกในภาวะที่ลำเอียง จิตน่ะลำเอียง เพราะมีความเห็น เพราะมีเรา ...ถ้ามีความเห็นถ้ามีเราเมื่อไหร่...ลำเอียง  โกรธบ้าง กลัวบ้าง รักบ้าง ชอบบ้าง ชังบ้าง ...ลำเอียง

แต่ศาลสถิตยุติธรรม ศาลศีลสมาธิปัญญานี่...ไม่มีคำว่าลำเอียง  ตรงไปตรงมา ตรงต่อธรรมทั้งหลายทั้งปวง ตรงต่อทุกสิ่งที่ปรากฏในปัจจุบัน

แล้วว่าความกันไปแบบน้ำๆ เนื้อๆ ...น้ำเป็นน้ำ เนื้อเป็นเนื้อ  ไม้เป็นไม้ นกเป็นนก ไม่มีไม้เป็นนก ไม่มีนกเป็นไม้  ...จิตน่ะชี้ไม้เป็นนก ชี้นกเป็นไม้...โกหก

แล้วยังหลงมันอีก ยังเชื่อมันอีก แล้วก็ไม่ไต่สวนทวนความด้วยนะ ...มักง่าย เอาสบาย เอาแต่ความว่าเราสบาย สะดวกสบาย ง่ายๆ ว่า “เดี๋ยวมันก็หมดไปเองน่ะ”

แต่มันไม่หมดนะ ตายแล้วก็ยังไม่หมด  มันไม่จบ มันหาความจบไม่ได้ ...แต่จิตมันก็บอกว่า “ไม่มีอะไรหรอก เดี๋ยวมันก็แล้วไป หมดไป” ...ความจริงไม่ใช่อย่างนั้นน่ะ ตายก็ยังไม่จบ...มาเกิดใหม่

เพราะมนุษย์นี่ไม่มีวันตาย ไม่มีใครตายจริงหรอก ไม่ต้องไปร้องไห้เสียใจเมื่อพ่อตาย แม่ตาย เพื่อนตาย คนรักตาย คนเกลียดตาย ...มันแปลงร่าง มันเปลี่ยนสภาพ เดี๋ยวมันก็หวนคืนมา 

แต่ว่าเป็นเหล้าเก่าในขวดใหม่ เปลี่ยนขวด เปลี่ยนโหล เปลี่ยนฉลาก เปลี่ยนยี่ห้อ เปลี่ยนได้หมด ...แต่เหล้าเหมือนเดิม รสชาติเดิม ...ไม่ต้องกลัวว่าพลัดพรากจากกัน  

ท่านถึงบอก...การพลัดพรากจากกันเป็นเรื่องธรรมดา ไม่มีอะไรเสียหายหรอก เป็นเรื่องธรรมดาจริงๆ ...เดี๋ยวก็กลับมาเจอกันอีก แล้วก็พลัดพรากอีก แล้วก็เจอกันอีก แล้วก็พลัดพรากกันอีก 

ต่อให้ร้องไห้น้ำตาท่วมภูเขา มันก็อยู่ในอาการนี้ ...นี่คือโลก ไม่มีดีกว่านี้ แล้วก็ไม่มีแย่กว่านี้ด้วย มันเป็นอย่างนี้ เป็นธรรมดา ...จะมาร้องไห้ทำไม จะมาเสียใจอะไรกับมัน มันเป็นเรื่องธรรมดา

มีแต่พระอริยะพระอรหันต์น่ะไม่ธรรมดา ตายแล้วไม่ธรรมดา ...เพราะตายจริงๆ  ไม่สับปลับ ไม่กลับกลอก ตายแล้วตายลับ ตายแล้วตายเลย ตายแล้วไม่ฟื้น ตายแล้วไม่เกิด ...นี่เรียกว่าตายจริง

ไม่ใช่ตายหลอกๆ ไปงานศพกันหลอกๆ เผากันหลอกๆ ร้องไห้กันหลอกๆ ...เออ เดี๋ยวมันก็มาตายให้เห็นกันใหม่ เหมือนซีดีเหมือนเทปที่รีเวิร์สไปมาอยู่อย่างนั้นน่ะ

เพราะนั้น การที่จะออกจากความวนเวียนซ้ำซากเหล่านี้ ....มันต้องขยันขันแข็ง อดทน ฝืน ทบทวน ไต่สวนมูลฟ้องตัวเองอยู่ตลอดเวลา ...นี่ ใครเดิน...อย่ามาอ้างสุ่มสี่สุ่มห้านะ ว่าหนู ฉัน ผม เดินอยู่ 

อย่ามาอ้างนะ จิตอย่ามาอ้างลอยๆ นะ ...ดูลงไป จริงๆ จังๆ ดูสิว่ามันเป็นแค่ความรู้สึกในการก้าวการย่างเฉยๆ แค่นั้นเองรึเปล่า มันเป็นเท่านี้จริงๆ รึเปล่า ไม่มีอะไรเกินจากนี้ออกไปเลยที่เขาแสดง

นี่ต้องไต่สวนมูลฟ้องอยู่ตลอด ...ไม่อย่างนั้นน่ะ มันจะมาถืออ้างแบบข้างๆ คูๆ มาครอบครองถือครองกรรมสิทธิ์ในขันธ์นี้ว่าเป็นเรา...หน้าด้านๆ เลยนะ ไม่มีเหตุผล

มันไม่มีเหตุไม่มีผลเลยนะ แล้วก็เชื่ออย่างเดียว นี่เรียกว่ามิจฉาทิฏฐิ ที่เรียกว่าเป็นทิฏฐิสวะ ที่มันฝังอยู่ในอาสวะ มันเป็นทิฏฐิที่ก่อให้เกิดมนาสวะ ภวาสวะ กามสวะ

คือเรียกว่ามันฝังแบบเหมือนน้ำกับสีน้ำน่ะ แยกไม่ออก แทบจะแยกไม่ออกเลย...กายกับเรา เรากับกายนี่ มันแทบจะเป็นเนื้อเดียวกัน...แนบสนิทแบบไม่มีรอยต่อน่ะ...มันดูเหมือนไม่มี หารอยต่อไม่เจอน่ะ 

กว่าจะเจอหรือได้เจอ ...นี่ มันจะเจอรอยต่อนี้ ต่อเมื่อทุกท่านทั้งหลายอยู่ในองค์มรรค จึงจะเห็นรอยต่อของกายใจ ของขันธ์กับรู้  และจะเห็นว่าตัวไหนที่มันเป็นตัวเชื่อมประสาน...ก็จิตเรานั่นเอง หรือตัวเรา

นี่ พูดไว้ก่อน แล้วไปทำเอาเอง แล้วมันจึงจำแนกแยกออกมา...จนไม่เป็นชิ้นเป็นอันอะไรเลยขันธ์นี้ ...แต่ตอนนี้มันยังสมานรวมเป็นตัวเราแบบแข็งแกร่ง

แล้วมีตัวอย่างนี้ หน้าตาอย่างนี้ ผิวพรรณอย่างนี้ แล้วอยู่ในสถานภาพอย่างนี้ อยู่ในประเทศนี้ ที่นี้ จังหวัดนี้ ทำงานอย่างนี้ อายุประมาณนี้ ...นี่ มันอยู่ในสถานะที่แนบแน่น เที่ยงเลยใช่มั้ย...เราน่ะ


(ต่อแทร็ก 10/37  ช่วง 2)


วันจันทร์ที่ 5 ธันวาคม พ.ศ. 2559

แทร็ก 10/36


พระอาจารย์
10/36 (560412B)
(แทร็กชุดต่อเนื่อง)
12 เมษายน 2556


พระอาจารย์ –  ง่วงรึ ...ง่วงมั้ย

โยม –  ง่วงค่ะ

พระอาจารย์ –  ขยับ ขยับขา ...รู้ว่าง่วงไว้ อย่าให้มันไหล  รู้ไว้ว่านั่ง รู้ไว้ว่าง่วง ...รู้ไว้ ให้มันรู้  อย่าให้มันไหล อย่าให้มันถลำไปจมแช่กับอาการ   

ฝืน ทวน ทวนไว้ อยู่ในฐานกายฐานรู้ไว้ ...เป็นทุกข์ช่างหัวมัน การทวนน่ะเป็นทุกข์แน่  เพราะมันไม่สบาย นอนสบายกว่า มันเป็นความพึงพอใจ

มันจะพอใจ จิตมันจะพอใจ แล้วมันจะไปจมแช่ แล้วมันจะได้เสวย...“เรา” จะได้เสวยความสุขในการนอน ในการหลับ มันเชื่อของมันอย่างนั้น...จิต ผู้โง่เขลาไม่มีปัญญา

มันจะเอาแต่ความสบาย มักง่าย ชอบไปนอนตาย ...แล้วมันเข้าใจว่านี่คือความสุขที่มันพึงพอใจแล้ว ไม่เอาอย่างอื่น เอาอะไรมาแลกมันก็ไม่ยอม เอาศีลสมาธิปัญญามาแลก ก็ไม่เอา

เพราะอะไร ...เพราะเรายังไม่เคยเห็นอานิสงส์ของศีล เพราะจิตยังไม่เห็นอานิสงส์ของศีล จิตยังไม่เคยเห็นอานิสงส์ของสมาธิ จิตยังไม่เคยเข้าถึงอานิสงส์ของปัญญา ...มันก็บอกว่าเอาความสุขแค่นี้พอแล้ว

จิตกับ “เรา” นี่ตัวเดียวกันนะ ...เวลาง่วงก็บอกว่าเราง่วง แล้วเราก็จะง่วง เราก็จะเสวยความง่วง ความสุขในการง่วง ...เชื่อมั้ย ให้ไปนอนจริงๆ น่ะ ไม่หลับหรอก จะไม่หลับ

จิต...ธรรมชาติของจิตมีอยู่อย่างหนึ่ง คือหนีความจริง โดยเฉพาะความจริงของตัวเองในปัจจุบัน แล้ว ...ยิ่งมามีความจริงจากภายนอกสำทับ มันยิ่งหลบ ...มันกลัวความจริงนะ ความไม่รู้นี่ เรานี่

เพราะนั้นมันหาที่หลบที่สบายที่สุด คือไม่รับรู้อะไรเลย...นอน หลับ ...โมหะ นี่เรียกว่าถีนมิทธะ มันเป็นสันดานของจิตผู้ไม่รู้เลย มันจะหนีความเป็นจริง

แล้วมันคิดว่าอยู่ที่นั่นแล้วสบายดี ไม่ต้องมารับรู้ความจริงอะไรเลย ...จึงเรียกว่านิวรณ์ ๕ นี่เป็นตัวกางกั้นธรรมที่เรียกว่าศีลและสมาธิธรรม ...ต้องทวน ชนะ ต้องเหนือมัน รู้เท่านั้นจึงจะเหนือมัน 

เพราะนั้นก็ขยับเขยื้อน เคลื่อนไหวกาย ทำความรู้สึกในตัว ลมหายใจเข้า-ลมหายใจออก หมุนคอ หมุนซ้ายหมุนขวา  พวกนี้คือการทำความรู้สึกตัว ให้เกิด ให้ชัด 

แล้วก็เอารู้ไปกำกับอยู่กับความรู้สึกในตัว แทนที่จะไปจดจ่ออยู่กับง่วง ...ความง่วงนี่ถือเป็นธรรมารมณ์หนึ่ง เป็นอารมณ์หนึ่ง เป็นโมหะหนึ่ง เป็นอารมณ์หนึ่งที่อยู่ในจิต และอาการพวกนี้มันตั้งอยู่นอกใจ

เพราะนั้นอาการที่เคลื่อนออกมานอกใจแล้วมันมีอาการ มีความรู้สึกในอาการที่มันตั้งอยู่นอกใจนี่...ตรงนี้เรียกว่าภพ แล้วมันเข้าไปเสวย มีเราเข้าไปเสวยในภพนั้น จะเรียกว่าชาติบังเกิด...คือสุขทุกข์

เมื่อสุขทุกข์ปรากฏแล้ว ผลที่จะตามมาคือชรา พยาธิ มรณะ โสกะ ปริเทวะ โทมนัส อุปายาส คือมันจะมีความแปรปรวน สลาย หาย จนดับ ...แต่มันจะไม่เข้าใจ และไม่ยอมรับในกระบวนการนี้ 

มันจะมีความรู้สึกพอใจและไม่พอใจ..ในการตั้งและความดับ...นี่ด้วยความโง่ของจิต  แล้วยังไง ...มันก็จะแสวงหาภพใหม่ ที่มันคิดว่ามันทำได้ มันสร้างได้ แล้วมันจะเที่ยงกว่านี้

นี่ คืออาการวนเวียนซ้ำซากของจิตผู้ไม่รู้ ผู้ลุ่มหลงมัวเมาในภพทั้งสาม ที่ไม่มีคำว่าสิ้นสุด ที่ไม่มีคำว่าขอบเขต ที่ไม่มีคำว่าจบสิ้น ที่ไม่มีคำว่าทิศทาง ...เหมือนคนตาบอด คลำอะไรได้สะเปะสะปะ..กูเอา 

แล้วถ้ามันเคยซ้ำซากในช่องนี้ ตรงนี้ มันก็จะซ้ำลงตรงนั้น ...นี่เรียกว่าอุปนิสัย หรืออุปสันดาน หรืออุปกิเลส  แล้วพอมันซ้ำซากๆ ตรงนี้ นี่ จนเรียกว่าเป็นอนุสัย

ที่อธิบายมาทั้งหมดนี่ เพื่อให้เห็นภาพโดยรวมของกระบวนการของกาย ของจิต ของขันธ์ ของโลก ของความไม่รู้ ...แล้วที่อธิบายความเป็นจริงทั้งหมดของมรรค เพื่อให้มาเห็นกระบวนการทั้งหมดในปัจจยาการที่สืบเนื่องไปมา

แล้วจะตัดบ่วง ตัดโซ่ ตัดข้อ ตรงไหนดีล่ะ ถึงจะออกจากปัจจยาการวนเวียนซ้ำซากหมุนวนนี้ได้ ...เพราะนั้น เราให้คีย์เวิร์ดไว้แล้ว...กายใจปัจจุบันเท่านั้น จึงจะเป็นตัวที่ตัดห่วงโซ่พันธนาการ หรือปัจจยาการแห่งการสืบเนื่องของจิต

กายนี่มันหาภพไม่ได้หรอก จับมันตั้งอยู่อย่างนี้มันก็ตั้ง จับมันไปแช่น้ำอาบน้ำเพราะมันร้อน มันก็ไป ทั้งๆ ที่ว่ามันไม่ได้เรียกร้อง ...ใครเป็นคนพามันไป มันมีชีวิตเรียกร้องเดินไปเองได้ไหม ...ใครพาไป


โยม –  ใจ

พระอาจารย์ –  ใครว่า เนี่ย เห็นมั้ย จะไปตู่เอาแล้วว่าใจพาไป ...“เรา” นั่นแหละพาไป ใช่ป่าว ...“เรา” อยู่ไหน “เรา” คือใคร นี่...ไม่รู้  แต่ถ้า “เรา” ว่ายังไง...เชื่อหมด

ใจเนี่ย...ไม่ใช่เรา ไม่มีเรา ...แล้วมันจะสั่งการอะไรได้ มันจะบงการอะไรได้ ...เพราะใจมีสถานะเพียงเพียงแค่รู้และเห็น  มันสั่งอะไรไม่ได้หรอก และไม่มีหน้าที่สั่งการอะไรเลย

เห็นมั้ย เห็นความไม่มีปัญญามั้ย ...เพราะจิตไม่มีปัญญา เพราะจิตไม่มีความรู้ที่แท้จริงในสองสิ่ง...กาย-ใจ ...ภาวะนี้มันจึงสังเคราะห์ หรือว่าปรุงแต่ง หรือว่าสร้าง “เรา” ขึ้นมา

เพื่อว่าการทำหน้าที่ใดทำหน้าหนึ่งขึ้นมา ด้วยการสร้างความเห็นใดความเห็นหนึ่งขึ้นมา ...เพราะมันไม่เข้าใจ เพราะมันไม่เข้าใจธรรมชาติสองอย่างนี้ เหตุนี้แล จึงเป็นเหตุให้เกิดการสังเคราะห์หรือปรุงแต่งขึ้นของจิต 

แล้วมันจะสร้าง “เรา” เป็นบุคคลขึ้นมา เป็นบุคคลหนึ่งลอยๆ เป็นผู้มีชีวิตหนึ่งขึ้นมาลอยๆ ...ทั้งๆ ที่ “เรา” นี่ ไม่มีหน้าตาหรอก หาหน้าตาก็ไม่เจอ ...หน้ามันเหมือนหนังหน้าของตัวเองไหม เหมือนมั้ย 

มันมีหน้าตามั้ย “เรา” น่ะ ...มีมั้ย (โยมหัวเราะ) มันเป็นยังไงหน้าตาของ “เรา” มันเป็นไง ...ไม่มีหรอก มันเป็นแค่ความรู้สึก


โยม –  มันก็เห็นว่ามีทุกวันนะคะอาจารย์

โยม (อีกคน) –  คิดเอาเองว่ามีหน้าตา

พระอาจารย์ –  ไม่มี ...มันไม่มีหน้าตานะ จริงๆ มันไม่มีหน้าตาหรอก ...มันเป็นความรู้สึก เป็นเจตนา เหมือนกับเป็นแค่เจตนา แล้วก็เป็นผู้ที่บงการ สั่งการ ให้ยกมือ ให้ขยับ

อยู่ดีๆ แขนไม่ขยับนะ แขนขยับเองไม่ได้นะ ใช่ไหม  ด้วยตัวของแขนเอง มันขยับเองได้มั้ย ...ไม่ได้นะ ต้องมีการสั่งให้มันขยับ ...นั่นน่ะ ใครสั่ง


โยม –  เราสั่ง

พระอาจารย์ –  เออ หาดูสิ “เรา” อยู่ตรงไหน ...เห็นมั้ยว่า ถ้าไม่มีสติเราจะไม่เห็นอาการนี้เลย อาการของ “เรา” อยู่ตรงไหน แล้วเราก็เข้าใจว่าแขนนี่มีชีวิต เป็นเนื้อเป็นตัวของเรา เป็นส่วนหนึ่งของเราซะอย่างนั้น


โยม –  ถ้าเราไปดูที่เราจะสั่ง มันจะนิ่งไปแป๊บนึงน่ะค่ะ

พระอาจารย์ –  อือ มันจะเกิดอาการแยกออก ระหว่างกายกับเรา ระหว่างแขนกับเรา ...มันจะหยุด และเมื่อมันหยุด เห็นมั้ย เมื่อมันหยุดแล้วมันจะเห็นสองอาการนี้

แล้วเมื่อมันหยุดแล้วมันเห็นสองอาการนี้ ...แล้วถ้ามันหยุดต่อไปนะ มันจะเห็นอาการของ “เรา” หรือความรู้สึกที่เข้าไปสั่งการนี่ จะหายไป แล้วจะเหลือแต่แขน ใช่มั้ย ...ยังเหลือแต่แขนมั้ย

พอไอ้ตัวเราหายไป ความรู้สึกว่าเราหายไปแล้ว แขนเหลือมั้ย ความรู้สึกในแขนมีมั้ย ความรู้สึกเป็นก้านๆ แข็งๆ มีมั้ย  ความรู้สึกแน่นๆ ในแขน ยังมีอยู่ แต่ “เรา” หายแล้ว ...เออ เนี่ย เหล่านี้เรียกว่าวิจยะ


โยม –  อันนี้คือให้ทำต่อเนื่องอย่างนี้ใช่ไหมคะ

พระอาจารย์ –  ต่อเนื่อง ...คือเข้าใจมั้ยว่าไอ้ที่เราพูดอธิบายในลักษณะนี้ นี่คือปัญญาขั้นละเอียด ...อย่างระหว่างไปทำงาน หรือระหว่างพูดโทรศัพท์นี่  ทำไม่ได้ เข้าใจมั้ย

เพราะนั้นระหว่างนั้นน่ะให้ทำความรู้ตัวว่ายืนเดินนั่งนอน ถึงแม้จะเป็นเรา ตัวเรา ก็ช่างหัวมันเถอะ เข้าใจมั้ย ...เพราะจะไปวิจยธรรมในขณะที่คุยโทรศัพท์ หรือกำลังสั่งงาน หรือกำลังเขียนหนังสือนี่


โยม –  ยาก

พระอาจารย์ –  อย่าว่ายากเลย ทำไม่ได้หรอก ...เพราะนั้นลักษณะที่เราพูดให้ฟังตรงนี้ เรียกว่า...นี่คือการตีแผ่ เหมือนตีแผ่ หรือว่าจับมันขึ้นโรงศาลแล้วซักฟอก

นี่ สืบสวนทวนความหาพยาน อันไหนเท็จ อันไหนจริง ผู้ใดกล่าวเท็จ ผู้ใดโป้ปด จับให้มั่นคั้นให้ตาย ...นี่ มันต้องอย่างนี้ อยู่ตรงนี้เรียกว่าเข้าขั้นขึ้นโรงขึ้นศาลแล้ว

ทบทวน สอบทานหาพยานมายืนยันความถูกต้องหรือความจริง ...เพื่ออะไร เพื่อเฟ้นหาสิ่งที่จริงที่สุด ...อะไรโกหกตัดทิ้ง พยานไหนมั่ว เห็นไม่จริง ยกเมฆขึ้นมาลอยๆ ไล่เอาจนมุม นี่โกหกๆ ศาลรู้นะ

ก็เหลือแต่ความเป็นจริงแท้ๆ  แล้ววิจยะไปเรื่อย ทบทวน สอบทาน จะเหลือความจริงอยู่สองอย่างเท่านั้น กายกับใจ...ซึ่งไม่มีอะไรมาโกหกลบล้างได้เลย

นอกนี้ไปโกหก นอกสองอย่างนี้ไป..ไม่จริง นอกกายกับนอกใจปัจจุบันนี้ออกไป เชื่อไม่ได้ นอกกายนอกใจนี้ไป ไม่ว่าอณูหนึ่ง ปรมาณูหนึ่ง..ไร้สาระ ไม่น่าเชื่อถือ

นี่เขาเรียกว่าทบทวนจนถึงที่สุดเลย ขั้นฎีกา ...จึงได้คำพิพากษาว่า...ไม่กลับมาเกิดอีกต่อไป

แต่ในลักษณะของการที่เรายังมีวิบากกรรม ต้องข้องแวะ ทำงาน ...มันก็ว่างเว้นจากการขึ้นศาลชั่วคราว รู้จักศาลปัจจุบันมั้ย คดีมันล้นศาล เว้นไปอีกสักสามเดือนค่อยเรียกมาสืบสวนกันต่อ

แล้วสืบสวนสักห้านาทีครึ่งชั่วโมง ศาลเหนื่อยแล้ว ไอ้คนนั้นไอ้คนนี้ก็ไม่มา ก็รอไว้ก่อนอีกหนึ่งปี ...กว่าคดีจะจบนี่ไม่รู้เมื่อไหร่นะ คดียังไม่ทันจบ แต่ขันธ์ห้าเสือกจบก่อน...ตาย

นี่ยังหาความจริงอะไรไม่ได้เป็นตุเป็นตุเลยน่ะ  แล้วก็ไปใช้ชีวิตเกลือกกลั้วกันไป กับคนดีคนร้าย คือกุศลบ้าง อกุศลบ้าง  จริงบ้าง เท็จบ้าง ...ส่วนมากไม่จริงหรอก เท็จทั้งนั้นๆ

แต่ว่ามันไม่รู้ว่าความจริงอยู่ไหนนี่ ก็ไม่รู้จะอยู่กับความจริงตรงไหน  ก็อยู่กันไปแบบแกนๆ โดนหลอกบ้าง ถูกเขาหลอกบ้าง ไปหลอกเข้าบ้าง พอกันน่ะ ...มันก็มีแต่ทุกข์ กับทุกข์ๆๆๆ

แต่ถ้าอยู่กับความเป็นจริง แล้วก็เห็นแต่ความเป็นจริง แล้วคัดกรองความเป็นจริง เหลือแต่ความเป็นจริงล้วนๆ ...ไม่ทุกข์ ความเป็นจริงจะไม่ทุกข์ ไม่ให้ทุกข์แก่ใครเลย

และไม่มีใครเข้าไปรับทุกข์แห่งความเป็นจริงนี้ได้เลย เพราะตัวมันไม่ได้เป็นลักษณะที่จะเป็นเจตนา จงใจ หรือให้ใครมาครอบครอง หรือว่าเป็นของใคร ...มันไม่มี มันไม่มีลักษณะอย่างนั้น

เพราะนั้นถ้ามันอยู่กับความเป็นจริงโดยตลอด..ตลอดเวลา ถือครองความเป็นจริงนี้ตลอดเวลา ...ไม่มีทุกข์หรอก ไม่เป็นทุกข์ด้วย ...แต่เพราะมันไปอยู่กับสิ่งที่ไม่จริงนี้ต่างหาก มันจึงสร้างทุกข์ให้

ใครเป็นผู้สร้างทุกข์ให้...เรากับเขา ...ถ้ามีเขามันก็มีเรา ถ้ามีเราก็มีเขา เพราะนั้นใครทุกข์ ...กายนี้ไม่ทุกข์นะ ใจนี่ไม่ทุกข์นะ กายใจนี่ไม่เคยทุกข์เลยนะ

เพราะมันไม่มีความเป็นบุคคล ไม่มีความเป็น Alive ...มันเป็นธาตุ ธาตุของกายเรียกว่ามหาภูตรูป ๔ ดินน้ำไฟลม บวกเพิ่มอีก ๒ คืออากาศ ช่องว่าง ..ใจก็คือธาตุ แต่เป็นธาตุรู้ ไม่มีชีวิต ไม่มีความเป็นบุคคลนะ

เพราะนั้นกายใจไม่เคยทุกข์เลย ...มีแต่ “เรา” น่ะทุกข์ ...แล้วเราทุกข์เพราะอะไร เพราะมีคนทำให้เราทุกข์ คือผู้อื่น เพราะมีผัสสะของโลก เหตุการณ์ของโลก มากระทบ “เรา”...“เรา”ก็ทุกข์

ตราบใดที่ยังมี “เรา” ก็ไม่พ้นจาก “เรา” ที่จะต้องเป็นทุกข์อยู่เสมอ ทั้งๆ ที่มันไม่สมควรจะทุกข์ด้วยซ้ำ ...เพราะอะไร ...เพราะแท้ที่จริงมันไม่มี “เรา”

แล้วทำยังไง มันถึงจะเข้าไปถึงความเป็นจริงว่าไม่มี “เรา” น่ะ ...มรรคไง ปัญญาไง วิจยธรรมเหล่านี้ไง ตีแผ่ความเป็นจริงนี่ ซักฟอกออกมาเป็นชิ้นๆๆๆ เป็นกองๆๆๆ

มันอยู่ตรงไหนล่ะ “เรา” น่ะ หือ ...มันอยู่ในแขนรึเปล่า มันอยู่ที่หนังหน้ารึเปล่า หรือมันอยู่ที่ทั้งตัวนี้เลยรึเปล่า หรือมันอยู่ที่ความรู้สึกว่านั่ง ก็ว่า “เรานั่ง” ...นั่นน่ะ ซักฟอกดูหน่อยซิ

อย่ามาโกหกหน้าตาย อย่ามาโกหกหน้าด้านๆ นะจิตน่ะ ...เอามันให้จนมุมน่ะ มันมีอยู่ในเส้นผมไหม หือ มันมีอยู่ในความอบอ้าวไหม หรือเราไม่รู้สึกอบอ้าว แล้วความอบอ้าวนี่มันมีเราอยู่ตรงไหน ห๊ะ

อย่ามาอ้างลอยๆ นะจิต ...นี่ ต้องทบทวนกันอย่างนี้นะปัญญานี่ ทุกความเป็นจริงที่ปรากฏในปัจจุบันนี่ มันเป็นเราได้ยังไง มีใครเดิน การเดินนี้เป็นเราตรงไหน หือ

ความรู้สึกในการเดิน กระทบพื้น กระทบของแข็ง ในการย่าง การเหยียบ การยึด การเหยียด การเหลียว การหัน การหมุนน่ะ มันเป็นเราตรงไหนน่ะ มันมีเราอยู่ตรงไหน อย่ามาอ้างลอยๆ นะ

นี่ ต้องทวนพยาน สืบพยานกันอย่างนี้ เรียกว่าวิจยะด้วยปัญญา ...จะมาอ้างลอยๆ ว่าเรานั่ง เรากำลังเดินอยู่ แล้วก็เชื่อแล้วว่าการเดินนี้เป็นเรา ของเรา ...มักง่ายน่ะ มันมักง่ายไหม...มักง่าย

จิตมันชอบอะไรแบบมักง่าย ผ่านๆ ไป ...มันไม่แยบคาย มันไม่ไตร่ตรอง มันไม่ละเอียดถี่ถ้วน ...แยบคาย ตัวนี้เรียกว่าโยนิโสมนสิการ กับปัจจุบันธาตุ กับปัจจุบันธรรม

เพราะนั้นที่จะต้องแยบคายนี่ ไม่ต้องไปแยบคายที่อื่น แยบคายลงในปัจจุบันกายปัจจุบันศีลตัวเดียวพอแล้ว ...เดี๋ยวจิต เรื่องราวในจิต มันจะอ่อนตัวของมันไปเองแหละ  แล้วมันจะหมดค่า หมดราคาไป


(ต่อแทร็ก 10/37)