พระอาจารย์
10/14 (560302E)
(แทร็กชุดต่อเนื่อง)
2 มีนาคม 2556
พระอาจารย์ – เพราะนั้นก็อาศัยพลังทั้งภายนอก
และก็พลังทั้งภายในสนับสนุน
เพราะลำพังถ้าไม่มีครูบาอาจารย์ชี้แนะว่าศีลสมาธิปัญญาคืออะไรที่แท้จริง แค่นี้ปิดทางมรรคเลย ...แล้วก็หลับหูหลับตาทำไป
เรียกว่าทำแบบลูบๆ คลำๆ สุดท้ายก็เจอตอ หรือไม่เจอตอก็เจองูแว้งกัด เพราะมันตาบอดในศีลสมาธิปัญญา
แต่เมื่อมีภายนอก-ภายในสนับสนุนกัน
มันก็ไปบรรเจิดจรรโลงขึ้นในมรรค คือว่าแสงสว่างในมรรคก็เกิดได้ มันก็เห็นลู่ทาง
ช่องทาง ที่จะหลุด ที่จะพ้นออกจากขันธ์ ออกจากโลกอย่างไร ...นั่นล่ะคือเส้นทางของมรรค
และไม่มีเส้นทางอื่นเลย ... นี่ ยืนยันได้ด้วยตัวของมันเอง ยืนยัน นั่งยัน นอนยัน ไม่มีเส้นทางอื่น
ไม่มีวิธีการอื่นเลย ไม่มีอุบายอื่นเลย มีแต่หลัก...ศีลสมาธิปัญญา...หลักเดียวเท่านั้น
ไตรสิกขา หลักเดียวเท่านั้นน่ะ
โดยมีการประกอบในองค์มรรค คือสติ มหาสติ...เป็นพื้นเลย ที่จะเดินหรือว่ามรรคนี่ถึงจะเคลื่อน ...ช้าหรือเร็วอยู่ที่สติ...มหาสติ คือความสม่ำเสมอและต่อเนื่องนั่นเอง
เมื่อใดที่เกิดความสม่ำเสมอและต่อเนื่องนั่นแหละ
มันจะเป็นไปเพื่อให้เข้าถึงมหาสติ นั่นแหละคือความรวดเร็วฉับพลัน ว่องไว
เท่าทันต่อทุกกระบวนท่าของจิตที่มันออกมาพร้อมกับความไม่รู้
แล้วมันจะสร้างให้มันจริงขึ้นมา
มันจะเท่าทันหมดทุกกระบวน
ทุกลักษณะของจิตที่มันจะพาออกนอกนี้ไป ...อย่างที่เราเคยบอกว่า
เหมือนตัวตลกมาเล่นหน้าเวทีแล้วกูไม่ตลกเลยน่ะ ...ซึ่งแต่ก่อนเคยหัวเราะน้ำหูน้ำตาเล็ด
แต่ตอนนี้ดูแล้ว เฉย เพราะรู้ว่ามันแสดงตลก
มันไม่ใช่ของจริง ...ตลกมันหน้าด้านแสดงได้ก็เก่งแล้วว่ะ แบบ...งัดมาทุกมุขแล้วมันยังไม่หัวเราะเลย แค่ยิ้มก็ยังไม่ยิ้มด้วยเลย มีแต่เฉยๆๆๆ
เหมือนมึงไม่ได้เล่นอะไรให้กูดูอย่างนั้นน่ะ ...ตลกมันคงไม่ทำงานต่อแล้วล่ะ
ไปหลอกคนอื่นดีกว่า มีคนหัวเราะขี้แตกขี้แตนเยอะ ในโลกนี่เยอะ
มันก็ไปหลอกคนเหล่านั้น จิตน่ะ
นี่คือจิตนะ ถ้ามันหลอกไม่ได้ ก็หมดมุขแล้ว ...เนี่ย ปัญญาญาณเป็นอย่างนี้ ถึงรู้ว่าหมดไปยังไง สิ้นไปยังไง ...ไม่มีใครมาพิสูจน์ทราบได้ ต้องตัวมันเองจริงๆ
เป็นเรื่องที่ไม่มีใครรู้ใครเห็นได้หรอก มันเป็นเรื่องจำเพาะกายจำเพาะจิตนั้นจริงๆ แล้วไม่สามารถจะมาอวดอ้างสรรพคุณได้ด้วย ใครจะไปเชื่อ มันก็เลยอยู่ในที่อยู่ในทางนั่นแหละ
ก็ไม่รู้จะเอาอะไรไปพูดให้ฟัง ...มันเป็นเรื่องที่เป็นนามธรรม มันเป็นเรื่องที่จับต้องไม่ได้
มันเป็นเรื่องที่ทุกคนต้องพิสูจน์ทราบ และลองทำดู มันถึงจะคุยกันพอเข้าใจ ...เรียกว่าพูดภาษาคนรู้เรื่อง
ไอ้เรานี่พูดภาษาคนแล้วคนฟังไม่รู้เรื่อง เพราะเราพูดภาษาคน แต่มันไม่ได้เป็นคน ปัญหาคือตรงนี้ เพราะเราพูดนี่พูดภาษาคน
เพราะนั้นคนที่พยายามกลับมาเป็นคนจริงๆ น่ะ มันถึงจะฟังภาษาคนรู้เรื่อง
แต่ไอ้คนที่ไม่รู้จักเลย และไม่พยายามทำให้ตัวเองกลับมาเป็นคนเลย
มันจะฟังภาษาคนนี่ไม่รู้เรื่อง ...ก็เป็นภาษาธรรมดานี่เอง
ก็เป็นเรื่องธรรมดาๆ เรื่องธรรมดาที่มันเจอตั้งแต่มันเกิดจนตาย ...ก็วนเวียนอยู่ในเรื่องธรรมดาของความเป็นคนนี่เอง
แต่มันไม่ยอมทำตัวมันให้เป็นคนขึ้นมาเลย
มันก็จะฟังภาษาคนไม่รู้เรื่อง ...เพราะเราไม่ได้พูดลึกลับซับซ้อนอะไร
พระพุทธเจ้าก็ไม่ได้สอนอะไรลึกลับซับซ้อนพิสดารอะไร
แต่มันชอบอยู่ในภาวะที่เกินความเป็นคนขึ้นไป
หรือต่ำกว่าความเป็นคนไป แล้วไม่ลืมหูลืมตา ฟังไม่รู้เรื่องหรอกๆ ...ดีไม่ดีมันก็ด่า
ใช่มั้ย ไม่ด่าก็ติหรือวิพากษ์วิจารณ์ ...ไอ้ลักษณะอย่างนี้เขาเรียกว่าหาเหาใส่หัว
อยู่ดีไม่ว่าดี ... เนี่ย จิต หากรรม
หาเหาใส่ตัวโดยที่ไม่สมควร
ถึงบอกว่าถ้าไม่สำรวมจิต ถ้าไม่ระวังจิต ...ซึ่งไม่ใช่เฉพาะแต่กับพระนะ แต่กับทุกคน อย่างมันเห็นคนเดินผ่านบนท้องถนนมันก็หาเรื่องได้ หมายความว่าจิตแค่ไปนึกว่า 'ทำไมอย่างนั้นนะ ไม่เห็นดีเลย น่าจะ อย่างนี้'
นี่ มันไปแล้ว เกิดการปรามาส เกิดการล่วงเกินแล้ว ...นี่ถ้าไม่สำรวม ไม่ระวัง เท่าทันนี่ จิตน่ะมันจะก่อร่างสร้างทุกมโนกรรม...ซึ่งมีอกุศลเป็นพื้นเลย
เพราะนั้นโดยธรรมชาตินี่ โดยกรรมวิบากเช่นนี้ จึงหาคนที่เกิดมาหน้าตามันหมดจดสมบูรณ์โดยไร้ฝ้าราคีไม่มีหรอก ...เหล่านี้คือเกิดจากมลทินของจิต มันก่อร่างสร้างขันธ์ขึ้นมา
เพราะนั้นขันธ์แต่ละขันธ์นี่ มันจะมีภาวะที่มันไม่มีคำว่าหมดจดสมบูรณ์ได้ แล้วก็แตกต่างกันไป ดำ ขาว กระดำกระด่าง แม้แต่ผิวพรรณ สีผิวนี่ยังไม่เป็นหนึ่งเดียวกันเลย
ทุกอย่างมีเหตุหมดนะ ไม่ใช่มันมาจากดวง ...แต่ด้วยเหตุจิตมันที่เป็นมลทิน คอยแต่งแต้มรูปขันธ์นามขันธ์ จะปรุงแต่งขันธ์มาอย่างไร
ตามอำนาจของมัน
เพราะนั้นระหว่างนี้ พวกเรานี่ก็ใช้ชีวิตอยู่เพื่อก่อร่างสร้างขันธ์
แล้วก็ก่อร่างสร้างภพในอนาคต...ด้วยความไม่รู้เลย
แต่เมื่อใดที่อยู่ในองค์มรรค ทุกอย่างน่ะเป็นการลบล้าง
และกำลังลบภพอนาคต และกำลังมาลบถึงที่สุดคือลบภพปัจจุบัน ชาติปัจจุบัน ...นี่ถึงเรียกว่ากลับสู่ความเป็นคน ...แล้วก็ลบออกจากความเป็นคน ลาออกจากความเป็นคน
ไม่กลับมาเป็นคนอีก
แต่ถ้ายังไม่เป็นคนนี่ไม่ต้องพูดถึง
มันก็ไปเตรียมสร้างภพสร้างชาติข้างหน้าแล้วกัน ...จิตมันก็จะก่อร่างสร้างภพสร้างชาติ ที่คาด ที่หมาย ที่หวัง แล้วมันก็ทำไปๆ
มันก็สะสมกำลัง เป็นอนุสัย เป็นวิบาก ที่จะรอรับผลในภายภาคหน้า
มันเลยไม่รู้จัก
มันเลยเกิดมัวเมาไม่รู้จักโทษแห่งการเกิด โทษแห่งการที่ปล่อยให้จิตล่องลอย
เลื่อนลอย คิดไปมา แบบไม่มีทิศไม่มีทาง ...แล้วยังสนับสนุนมันอีกต่างหาก
เพราะนั้นกว่าที่มันจะหันเห...มายอมหรือศิโรราบ
ราบคาบต่อศีลสมาธิปัญญา นี่ ต้องใช้กำลังทั้งภายนอกและภายใน ครูบาอาจารย์ก็ช่วยแนะนำ ตักเตือน ... ให้ทวนบ่อยๆ
เพราะมันทวนเองไม่ไหว ...เว้นเสียแต่เป็นพระพุทธเจ้าองค์เดียวที่เป็นเอง นี่เขาเรียกว่าสามารถด้วยตัวเอง โดยไม่มีใครบอก ใครนำ ใครสอนด้วย ... เก่งมั้ยล่ะ
นี่บอกก็แล้ว สอนก็แล้ว มันยังดื้อเลย
มันยังไม่ยอมเลย ...อย่างพวกเราตอนนี้ ต่อให้พระพุทธเจ้ามานั่งเทศน์ ยังไม่ฟังเลย จิตระดับที่มันเป็นอย่างนี้ ดีไม่ดียังไม่เชื่อเลยว่ามีพระพุทธเจ้า
เพราะพระพุทธเจ้าตามที่เราคิด กับพระพุทธเจ้าตามความจริง...ไม่เหมือนกันนะ แต่ละคนก็มีภาพพระพุทธเจ้าไม่เหมือนกัน ...เพราะนั้นต่อให้พระพุทธเจ้าองค์จริงมานั่งแล้วพูดอย่างนี้ให้ฟัง ...ก็อาจจะฟัง ว่าไพเราะ น่าเชื่อ สมควร ...แต่จะทำตามมั้ย นี่อีกเรื่องนึง
มันจะเป็นอย่างนี้จริงๆ นะ จิตนี่ ...มันดื้อ มันอหังการในตัวของมันเองมากๆ
มันมีความถือเนื้อถือตัวในตัวของมันเอง ว่าทุกอย่างที่มันคิด ทุกอย่างที่มันปรุง
ทุกอย่างที่มันออกมาเป็นความเห็น สรุปเป็นความเห็นขึ้นมาแล้วนี่คือ...ใช่ จริง
ต้องเชื่อ อย่างเนี้ย
เพราะนั้นก็มีสองเรื่อง...กายกับใจ ทำกายกับใจให้อยู่คู่กันในปัจจุบัน นี่แหละคือมรรค เมื่อใดที่รักษามรรคคือกาย-ใจปัจจุบันได้ต่อเนื่อง นั่นน่ะคือผล
ง่าย ลัด ...ไม่รู้จะลัดตรงไหน ตรงจนไม่รู้จะตรงยังไง จนทิ่มหูทิ่มลูกตา ทิ่มจนตูดทะลุหัวแล้ว มันตรงจนไม่รู้จะตรงขนาดไหนแล้ว
แต่จิตน่ะมันคอยจะชักใบให้เรือเสีย ...แล้วยังจะไปดูมันทำไม ยิ่งดูยิ่งเชื่อมัน
ยิ่งดูมันก็จะยิ่งปรุงเหตุและผลที่น่าเชื่อถือขึ้นมาให้เห็นน่ะ แล้วก็เสร็จ ติดบ่วงมัน ..ก็ไม่ได้เห็นหรอกว่ามันดับไป เดี๋ยวก็มาใหม่
แต่ถ้าเชื่อศีลสมาธิปัญญา ...มีแค่นี้เอง
กาย-ใจปัจจุบัน รู้กายรู้ใจ แล้วจะเห็นทุกอย่างอยู่ในนั้นแหละ ...แล้วก็ละทุกอย่างที่มันออกมานอกเหนือจากกายใจ นั่นแหละคือหน้าที่ของมรรค...ด้วยปัญญา
ถ้าไม่มีปัญญา มันจะไม่ละ มันละไม่ออก และมันจะไม่ยอมละ ...แล้วมันยังจะจับมาเป็นเรื่อง แล้วจับมาเป็นสาระ แล้วจับมาเป็นเหตุชี้นำ
ทุกอย่างที่มันออกมานอกเหนือจากกายใจแล้วเป็นเหตุชี้นำให้ทำตาม
ให้รู้ไว้เลยนั่นน่ะคือสุดโต่งในองค์มรรค อาจจะตกขอบหรืออาจจะไม่ทันตกขอบ
หรืออาจจะหลุดนอกขอบไปเลยก็ได้
เหตุนั้นๆ จึงเรียกว่าอัตตกิลมถานุโยคและ
กามสุขัลลุกานุโยค มันเกิดที่ไหน สังเกตไปเรื่อยๆ ดูไปเรื่อยๆ ... กายใจที่เดียวนั่นแหละ จะเข้าใจโดยตลอด
โยม – พระอาจารย์คะ
จะขออุบายพระอาจารย์ได้ไหมคะ
พระอาจารย์ – อือ ท่องไว้ว่า "ทำอะไรอยู่" ... กลับมาท่องถามตัวเองอยู่ตลอดว่าทำอะไรอยู่ นั่นแหละ เป็นคำบริกรรม
เพื่อให้กลับมาอยู่ในศีลสมาธิปัญญา ...ไปยืนเดินนั่งนอนดูตัวเองนั่นแหละ เป็นมรรค
โยม – แล้วครูบาอาจารย์ที่อยู่ใกล้กรุงเทพฯ พอจะมีมั้ย
พระอาจารย์ – ก็มี ...คือถ้าเป็นสายกรรมฐานส่วนมากท่านจะเน้นเรื่องสมถะ แล้วก็รูปแบบการปฏิบัติ
ซึ่งมันจะเอามาใช้ในชีวิตประจำวันไม่ค่อยได้
แต่อย่างอาจารย์ปราโมทย์ ลักษณะก็คล้ายๆ
กันกับเรา แต่คนจะไปเข้าใจว่าท่านสอนแต่การดูจิตแล้วก็เน้นให้ดูจิตอย่างเดียว
ไม่ใช่หรอก ท่านก็สอนกาย-จิต...กายใจ
แต่เราเน้นศีล เราเน้นกาย จิตเป็นรอง ...อย่าไปเข้าใจว่าจิตเป็นตัวนำ แล้วก็ต้องเอาจิตเป็นหลัก ดูจิตเป็นหลัก ... เราบอกว่าเอากายเป็นหลักแล้วเอาจิตเป็นรอง
คือไม่ได้ขัดแย้งกับท่านน่ะนะ ... แต่อย่างนี้พวกเรามันจะได้หลักฐาน...ได้รากฐาน
แล้วมันจะได้ความมั่นคงของใจ ...ไม่ใช่ได้ความมั่นคงของจิตนะ
แต่มันจะได้ความมั่นคงของใจ...คือดวงจิตผู้รู้
เมื่อใดที่เข้าถึงดวงจิตผู้รู้ เมื่อใดที่เห็นสภาวะที่เรียกว่า นีี่คือดวงจิตผู้รู้ จนมันตอบตัวเองได้แน่ ...ที่อาจารย์เพิ่นพูดคือดวงจิตผู้รู้ แล้วถึงตรงนั้นแล้วมันจะชัดเจน ...เนี่ย ดวงจิตผู้รู้
ตรงนั้นน่ะทุกอย่างจะเหมือนกับฟ้าที่ใส กระจ่าง ชัดเจน ... เหมือนกับเราจะเห็นไม่มัวๆ
สลัวๆ อย่างนี้
เมื่อใดที่ดวงจิตผู้รู้ที่มันปรากฏชัดอย่างนั้น
เหมือนกับฟ้านี่ เคลียร์ ทุกอย่างเคลียร์หมด อะไรเป็นอะไร หมาเป็นหมา
ต้นไม้เป็นต้นไม้ สัตว์เป็นสัตว์ ทุกอย่างเคลียร์ในตัวมันเองหมดเลย ...นั่นแหละเพราะสัมมาสมาธิบังเกิดขึ้น
เราถึงบอกว่าให้ยึดหลักกายนี่
จะเข้าถึงดวงจิตผู้รู้ ... แต่ถ้าเอาจิตดูจิตเป็นหลัก จะได้จิตดี คือจิตว่าง จิตสบาย
จิตไม่มีอะไร ...ผลมันได้แค่เปลือกนะ ได้แค่อารมณ์นั้น
นอกจากผู้ที่มีชวนะดี
สามารถน้อมลงที่ใจผู้รู้ได้ โดยอาศัยจิตเป็นฐานที่ตั้ง ...แล้วจากนั้นไปจึงจะลิงก์ไปถึงกาย หมายความว่าเป็นธรรมหนึ่งเดียวกัน นี่ก็ได้ ...เราไม่ได้ปฏิเสธว่าไม่ได้นะ
แต่ว่าในลักษณะอย่างของพวกเรานี่ ...คือ ดูสีสันวรรณะ
ดูรูปโฉมโนมพรรณแล้ว...ไม่น่าจะได้นะ (โยมหัวเราะกัน) เป็นไปได้ยาก ...มันติดเยอะ
คือมันเป็นพวกลูกอีช่างถูกหลอกน่ะ พร้อมที่จะถูกหลอกอยู่ตลอดเวลาอยู่แล้ว
คือปัญญามันยังต่ำเตี้ยติดดิน ...คงไม่ได้หวนที่จะระลึกถึงดวงจิตผู้รู้ขึ้นมาโดยลักษณะใช้จิตเป็นฐาน หรือใช้ธรรมารมณ์เป็นฐานหรอก
แต่ว่าถ้าใช้กายหรือว่าศีลเป็นฐานเลย นี่ มันชัดเจนมาก ...จะเข้าสู่ใจ ดวงจิตผู้รู้ได้ แล้วเข้าถึงหลักมั่นคงของใจที่ตั้งมั่นเป็นกลางเป็นสัมมาสมาธิ
เมื่อนั้นน่ะทุกอย่างจะหายสงสัย ...แล้วมันจะค่อยๆ
จางคลายจากความสงสัยในธรรม ว่าอะไรเป็นธรรม หรือว่าธรรมไหนจะต้องกำหนด ...แล้วจะรู้เองว่ามันจะต้องอย่างไร แล้วจะเห็นธรรมหนึ่ง
เมื่อใดที่มันเห็นธรรมหนึ่งแล้ว มันจะหายสงสัยว่าจะกำหนดธรรมไหนดี ...ตอนนี้มันยังคาสงสัยว่าจะเอาธรรมไหนมากำหนดพิจารณาดี ...จนเมื่อมันเห็นเป็นธรรมหนึ่งนั่นแหละ
ด้วยจิตหนึ่ง...มันจึงจะเห็นธรรมหนึ่ง ... เมื่อใดที่จิตหนึ่งบ่อยๆ
รวมอยู่ที่จิตหนึ่งบ่อยๆ ดวงจิตผู้รู้บ่อยๆ มันจะเห็นธรรมหนึ่ง มันจะเข้าใจความหมายคำว่าธรรมหนึ่ง หรือว่าธรรมเอก
เมื่อเข้าถึงธรรมเอกนั่นแล้ว นั่นแหละ
มันจะไม่สงสัยในธรรมว่าจะเอาอะไรมากำหนดเลย ...ทุกอย่างคือธรรม ทุกอย่างเป็นธรรม
ทุกขณะ...ปรากฏด้วยธรรม
......................................