พระอาจารย์
10/32 (560407A)
7 เมษายน 2556
(ช่วง 2)
(หมายเหตุ : ต่อจากแทร็ก 10/32 ช่วง 1
งงมั้ยล่ะ ทำไมสั่งได้ ...เอ้า
เขาหลอกไว้ใช้ไง ...ถ้าสั่งไม่ได้ มันตายไปนานแล้ว ถ้าสั่งกายไม่ได้ในการเคลื่อนไหวหรือเปลี่ยนอิริยาบถ มันตายซะตั้งแต่เกิดแล้ว...ไม่รอด
เพราะนั้นการเปลี่ยนอิริยาบถนี่
เขาให้เปลี่ยน... ธรรมชาติ
กรรมวิบากนี่เขาให้มาเปลี่ยน มีอำนาจในการเข้าไปเปลี่ยนอิริยาบถแห่งกายได้
ถือเป็นการบรรเทาทุกข์ ที่มันมีความบีบคั้นในตัวของมันเอง
กายนี่มันมีความบีบคั้น
หรือเป็นไฟที่มันเผาไหม้ในตัวของมันเอง ...ถ้าธรรมชาตินี้ไม่อนุญาตให้มีการเคลื่อนไหวหรือบงการสั่งการในการเปลี่ยนอิริยาบถกายได้นี่
แล้วกรรมวิบากนี่มันจะปรากฏได้ไหม ...การให้ผล การรับผล การสืบเนื่องของขันธ์ที่จะไปตรากตรำรับผลแห่งวิบากในอดีต ก่อวิบากในอนาคต
มันทำไม่ได้
เพราะนั้นกระบวนการหมุนวน
หมุนเปลี่ยนผันแปรในวัฏสงสารนี่ มันจะคงสภาพนี้ไม่อยู่ ...ทั้งหมดนี่มันเป็นระบบจักรวาล หรือระบบของธรรมชาติของไตรลักษณ์ มันจะอยู่ในระบบนี้
แล้วเรามาตกอยู่ใต้ระบบ
ใต้อำนาจระบบนี้ ด้วยความไม่รู้ไม่เข้าใจ แล้วมาเกิดความหมายมั่นแบบผิดๆ ...จึงเป็นเหตุซ้ำเหตุซ้อน ย้ำลงไปในความวนเวียนไม่จบและสิ้นลงไปอีก
ไม่มีใครกลัวหรอก..ภัยในวัฏสงสาร ...ถ้าไม่มีใครเห็นปัจจยาการเหล่านี้ด้วยตาใน...คือตาปัญญานะ
ไม่ใช่ตานอกนี่
ไอ้ตาเนื้อนี่สั้นมาก เรายังต้องใส่แว่นเลย มันไม่เห็นการณ์ไกลอะไรหรอก
มันเห็นแค่ตรงนี้ อะไรมาปิดมาบังตาก็มองไม่เห็นแล้ว ตานี้มันสั้นจะตายชัก
แต่ตาปัญญานี่มันเห็น
เห็นกว้างเห็นไกลกว่านั้น เห็นได้ลึกซึ้งซับซ้อนของปัจจยาการที่เกิดความสืบเนื่อง
แม้กระทั่งการตายและการเกิด ...แต่ถามมันสิ ถามจิตตอนนี้สิ มันเชื่อร้อยเปอร์เซ็นต์ไหม
ไม่เชื่อหรอก ถูกบังคับให้เชื่อ
และจำเป็นต้องเชื่อ เพราะนับถือพุทธ ...ลึกๆ น่ะจริงๆ มันไม่เชื่อหรอก ว่าจะเกิดอีก
หรือมันเกิดจริง หรือเคยเกิดมาก่อน ยังไม่เชื่อเลย แต่แกล้งทำเป็นเชื่อไว้ก่อน
เดี๋ยวเขาด่า
นี่ก็ไม่ได้มาไซโคให้เชื่อนะ
แต่เมื่อใดที่เราฝึกไปเรื่อยๆ ด้วยศีลสมาธิปัญญา แล้วมันมีตาข้างในนี่มันเห็น มันเห็นแล้วมันจะเชื่อ...เพราะอะไร เพราะมันเห็นปัจจยาการ
ตราบใดที่เหตุแห่งปัจจยาการยังไม่ดับ
ยังไม่สุด ยังไม่หาย ยังไม่สิ้นนี่ ...ปัจจยาการจากเหตุนี้มันจะเกิดความสืบเนื่อง
สิ่งนี้เกิด..สิ่งนี้เกิด...สิ่งนี้เกิดต่อ..สิ่งนี้เกิดต่อ
ตราบใดที่เหตุนี้ยังอยู่นี่
ไม่มีคำว่าจบสิ้นปัจขยาการแห่งการเกิดได้เลย …นี่ ตรงนี้ต่างหากที่จิตมันไปเห็น
แล้วมันจึงเชื่อว่าการเกิดและการตายนี่ไม่จบ มีอยู่ไม่จบ
จะรู้ก็ตาม-ไม่รู้ก็ตาม
แต่ปัจจยาการนี้ จะมีต่อเนื่องไป ไม่มีคำว่าจบในตัวของมันเองได้เลย
ตราบใดที่ยังไม่เข้าไปดับที่เหตุ ที่ท่านเรียกว่านิโรธ ...นิโรธแปลว่า
ความดับไปที่เหตุ ทั้งหลายทั้งปวง
ถ้าเหตุนี้ดับ...ผลไม่มี ความสืบเนื่อง
ความก่อเกิด ความเป็นปัจจยาการ...ไม่มี ...นั่นแหละหมายความว่า การเกิดและการตายไม่มี
เพราะการเกิดและการตายนี่คือปัจจยาการของการสืบเนื่องอย่างหนึ่ง
พระสัมมาสัมพุทธเจ้า ที่ท่านตรัสรู้
แจ้งในอริยสัจ ๔ และปฏิจจสมุปบาท คือปัจจยาการเหล่านี้ ...ท่านเข้าใจ
แล้วท่านแก้ตรงไหน ...ท่านไม่ได้แก้ที่ตรงไหนเลย ท่านมาละ หรือมาดับที่เหตุ
จึงเรียกว่าสมุทัย คือท่านเห็นว่าอะไรเป็นเหตุ แล้วมันต้องดับตรงไหน มันต้องแก้ตรงไหน...ปัจจยาการน้อยใหญ่จึงจบ จึงหยุด จึงไม่สามารจะก่อเป็นปัจจยาการได้อีกต่อไป
ด้วยปัญญาญาณ
ด้วยปัญญาของสัมมาสัมพุทธะ สัมมาสัมโพธิญาณของท่าน...นี่เป็นโพธิญาณด้วยนะ ...คำว่าโพธิญาณหมายความว่า
ไม่ได้ยินไม่ได้ฟัง ไม่ได้รู้จากตำราใด แต่รู้ได้ด้วยตัวเองเลยจริงๆ
นี่ ค้นได้ด้วยตัวเอง เจอเหตุได้ด้วยตัวเองจริงๆ ...จึงเห็นว่ากายนี้แลเป็นเหตุหนึ่ง
กับใจนี้แลเป็นเหตุอีกอย่างหนึ่ง สองอย่างนี่เป็นเหตุแห่งความสืบเนื่องหมุนวน
ไม่จบและสิ้น
ได้การแล้ว...ท่านก็คงตบหน้าขาอยู่ในใจล่ะนะ หามานาน แก้มานาน แก้มาหลายที่ ไม่จบสักที ...พอมาเริ่มชัดเจนในเหตุ
และเหตุนี้มันอยู่ตรงไหน...อยู่ตรงนี้นี่เอง
ตรงนี้คือตรงไหน ...ตรงปัจจุบันกาย
ปัจจุบันรู้นี่เอง ...ได้การเลย ทีนี้ ไม่ไปไหน ไม่ให้จิตไปไหน จรดลง จ่อลงไป ...นั่น
ท่านลงที่เหตุ ท่านละที่เหตุ
ท่านก็เห็นแต่ความดับไปของปัจจยาการน้อยและใหญ่
ไม่มีการเข้าไปประกอบเหตุให้เกิดเป็นปัจจยาการสืบเนื่องด้วยความอยากและความไม่อยาก
นั่นแหละคือสมุทัย
ที่ท่านบอกว่าให้ละไง...จาโค ปฏินิสสัคโค มุตติ อนาลโย ...ท่านเห็นเลยว่า
ไอ้ตัวที่ทำให้เกิดความสืบเนื่องของปัจจยาการน่ะ มีอยู่สองอย่างใหญ่ๆ
คือความอยากและความไม่อยาก นี่ ก็ละๆๆๆๆ ละที่ตรงเหตุน่ะ ...มันจะออกมาจากเหตุ คือเนื่องด้วยกายนี้ไป เนื่องด้วยใจนี้ออกไป
เนื่องด้วยกายนี้ออกไปคือ กายเรา
กายเขา กายคนนั้น กายคนนี้ กายสวย กายงาม กายดีกายร้าย กายไกลกายใกล้
กายละเอียดกายประณีต กายดีกว่า กายเลิศกว่า กายประเสริฐกว่า...ไม่เอา
เกินใจนี้ออกไปคือ จิตโน่น
จิตคิดอย่างนั้น เรื่องอย่างนี้ เรื่องอย่างนั้น อารมณ์อย่างนี้ อารมณ์อย่างนั้น
ความดีความงาม ความถูกความผิด ...มันเกินเลยจากนี้ไป เป็นปัจจยาการที่สืบเนื่องไป...ไม่เอา
ละๆๆๆ ละออก นี่ท่านประกอบเหตุ
ละสมุทัย ด้วยมรรค คือละๆๆ ละอยู่ภายใน จนเหลือแค่กายใจเปล่าๆ ...เป็นกายใจที่ว่างจากอัตตาตัวตนของใคร
จึงเรียกว่าเหลือเพียงแค่กายใจเปล่าๆ
ณ ที่กายใจเปล่าๆ ตั้งอยู่นี่...ไม่สามารถจะมีกิเลสตัวใดตัวหนึ่งจะตั้งอยู่ได้ แล้วมาเป็นเหตุมาเป็นตัวที่เข้าไปประกอบเหตุนี้ให้แตกกระสานซ่านกระเซ็นออกไปเป็นอดีตอนาคต
เมื่อกี้ว่าตบเข่าผาง
ตอนนี้ก็ตบหัวปึ่กเลย ...หามาสี่อสงไขยแสนมหากัป ไม่ใช่เรื่องเล็กๆ นะนั่นน่ะ
แต่เวลาท่านเอามาเรียบเรียงธรรมคำพูดเป็นสวากขาโต ภควา
สวากขาโต ภควตา ธัมโม นี่คือหมายความว่า ท่านมาจำแนกธรรมออกมา
มาแยกแยะแจกแจงออกมา นี่ ฟังดูเหมือนง่าย...ศีลสมาธิปัญญา มรรคมีองค์ ๘
แต่พวกเราฟังกันเหมือนง่าย จนรู้สึกว่า
“คงไม่ได้อะไรหรอก” ...เนี่ย สี่อสงไขยแสนมหากัป จึงจะเจอคำนี้ และวิธีอย่างนี้
และหรือความจริงเช่นนี้
มีบุญนะเนี่ย เหมือนนั่งอยู่เฉยๆ
แล้วมีคนเอาข้าวมายื่นให้เข้าปากน่ะ แล้วข้าวนี่เป็นข้าวปลอดสารพิษ
ไร้สารมลพิษแขวนลอย เขาเรียกว่าเป็นออร์แกนิค กินดีถ่ายคล่อง ไม่มีโทษ
มีปัญหาอย่างเดียวคือ...กูไม่กิน ...เออ
ประหลาด ของดีอยู่ต่อหน้า ยื่นให้ด้วย...กินนะคะ กิน ...ตอนแรก เอ้า กิน จะกินรึเปล่า นี่ ต้องบังคับนะ ถึงขั้นบังคับ ถึงจะยอมกินสักหนึ่งคำ
มันง่ายเกินไปล่ะมั้ง
สี่อสงไขยแสนมหากัปที่พระพุทธเจ้าฝากไว้นี่ ...ของดีให้กิน..ไม่กิน กลับไปขอทาน
เป็นพวกร่อนเร่พเนจร หาเช้ากินค่ำ หาค่ำกินเช้า หาเช้ากินบ่าย
กินเย็น กินพรุ่งนี้ กินมะรืนนี้
ชอบไปหากินแบบซำเหมา คนจรหมอนหมิ่น
ไร้บ้าน ขาดญาติขาดมิตร แต่บอกว่าอร่อยดี ...เหมือนขอทานนี่ ทั้งๆ ที่ว่าธรรมนี่
ยื่นให้ วางไว้ อยู่ต่อหน้าต่อตา
เราถึงบอก...เสียดายชาติเกิดจริงๆ ปล่อยให้เวลามันหมดไปทุกขณะวินาทีกับความไม่รู้เนื้อไม่รู้ตัว ...แล้วมันเอาคืนไม่ได้นะเวลาที่ผ่านไปน่ะ
กลับปล่อยให้มันผ่านไปกับความสนุก ความเผลอเพลิน ลอยๆ เลื่อนๆ
เวลานั่งรถมานี่น่ะ ตั้งหนึ่งชั่วโมงครึ่งมาถึงนี่ ...ทำไมมันรู้ว่าหลังพิงพนักไม่ได้ มันรู้สึกถึงก้นที่มันอยู่บนเบาะไม่เป็นหรือไง
หรือมันไม่มีให้เห็น หือ มันยากเกินไปหรือไง
มันต้องเสียเงินไหม
ต้องมาจ่ายเงินค่าต๋งกับเรารึเปล่ามันถึงจะเห็น ทำไมไม่ดู มันหมดเวลาไปแล้วนี่ชั่วโมงครึ่ง
ระหว่างนึกว่าอาจารย์อยู่รึเปล่า
วันนี้อาจารย์จะพูดเรื่องที่เราสงสัยติดค้างรึเปล่า
มันจะมานึกทำไม หือ ของมันอยู่นั่น หลังพิงเบาะ
มือกำพวงมาลัย ทำไมไม่รู้สึก ธรรมเขาสอนอยู่เบื้องหน้าน่ะ กลับมานั่งนึก “เดี๋ยวฟังธรรมแล้วจะได้ทำให้ดียิ่งขึ้น” ...เอ้า มันรอธรรมข้างหน้า
รอทำไม ...เออ ระหว่างรอนี่ รถชนปัง...ตาย ทำไงล่ะ ใช่ไหม ...ความตายนี่มาแบบไม่มีนิมิตหมายนะ ไม่มีลางบอกเหตุล่วงหน้าเลยนะ
ใครจะไปรู้ล่ะ ...ไม่ได้แช่ง แต่มันมีสิทธิ์ทุกคนนะ เราก็เหมือนกัน
ใครจะไปรู้ เรายังไม่รู้เลยว่าจะตายเมื่อไหร่
ตายแบบไหน ในน้ำ บนดิน บนเตียง ...ตกหลังคาก็เกือบตายมาแล้ว
มันเหลือเดน แบบทนายมายื่นโนติสขั้นรุนแรง
คือไปดีไม่ได้กูก็กระชากมึงไปเลย ประมาณนั้น
นี่ ธรรมนี่มีติดเนื้อติดตัวมาตั้งแต่เกิด
แล้วมันหมดเวลาไปแล้วครึ่งหนึ่ง...เกินครึ่งกันด้วย ...แต่ยังทัน ยังทัน ...ทันเพราอะไร
พระพุทธเจ้าบอก ๗ ปี ๗ เดือน ๗ วัน
ถ้ามันเข้าใจ
ถ้าทุกคนทุกท่านนี่เข้าใจตรงต่อศีลสมาธิปัญญา แล้วเอาไปปฏิบัติให้มันตรงนะ ...นี่ พูดในฐานะที่ปฏิบัติตรงต่อศีลสมาธิปัญญานะ ปฏิบัติตรงนะ
ไม่ใช่พูดถึงแบบที่ทำไปเรื่อยๆ
พอใจอันไหนก็ทำอันนั้น เดี๋ยวเบื่อกายก็ไปพุทโธ
เดี๋ยวเบื่อพุทโธก็มากำหนดลมหายใจเข้าออก เดี๋ยวเบื่อลมหายใจเข้าออก จิตไม่สงบ
ก็มาหนอ
พอนั่งหนอ ยืนหนอ เดินหนอ เอ๊ะ ตอนเรียนมหาวิทยาลัย เคยสัมมาอรหัง เนี่ย ไปมาๆ
ก็อยู่อย่างนี้ ...นี่คงไม่ ๗ ปีแน่ รับรอง อันนี้รับรองแทนพระพุทธเจ้า ไม่ ๗ ปีแน่ๆ
ศีลอยู่ไหน สมาธิอยู่ไหน
กูยังไม่รู้จักเลย ...รู้จักแต่ว่าวิธีการจะเข้าถึงศีล จะเข้าถึงสมาธิ
แล้วก็จะเข้าถึงปัญญาได้เอง นี่ แต่ตัวเองก็ให้คำตอบไม่ได้ว่ามันจะเข้าได้จริงรึเปล่า
แต่การที่เข้าไปจริงๆ เลยนี่...อีกเรื่องหนึ่งนะ
มันไม่มีวิธีเลยนะ ...เพราะนั้นวิธีอยู่ตรงไหน อยู่ตรงที่รู้ว่านั่งนี่ เอ้า ดูซิ
มันง่ายจนว่า..อื้อ อึ๊ อ๊ะ อะไรวะ มันจะอย่างงี้เหรอ นั่น จนงงนะ
แล้วก็ไปว่า...มันต้องทำให้มันมีแพทเทิร์นซะหน่อยไหม นั่น มันน่าจะต้องมีแพทเทิร์นหรือรูปแบบอะไรสักอย่างไหมเนี่ย หือ ไม่มีท่าทางนี่มันเหรอๆ หราๆ โว้ย
อู๋ย บอกให้...ไอ้เหรอๆ หราๆ นี่
จบมาไม่รู้กี่องค์แล้ว เออ เชื่อรึเปล่า...ไม่รู้ ไปแล้วไปลับ ไปแล้วไม่กลับมาน่ะ
(ต่อแทร็ก 10/33)