วันพุธที่ 30 พฤศจิกายน พ.ศ. 2559

แทร็ก 10/32 (2)


พระอาจารย์
10/32 (560407A)
7 เมษายน 2556
(ช่วง 2)


(หมายเหตุ  :  ต่อจากแทร็ก 10/32  ช่วง 1

พระอาจารย์ –  นั่น มันก็เลยเกิดความหนาแน่น เอาเป็นเอาตายว่ากายนี่มันเป็นของเราจริงๆ  ถ้าไม่เป็นของเราก็สั่งมันไม่ได้ บอกให้มันยืนก็ไม่ได้สิ นี่บอกให้ยืนยังยืนได้ทันทีทันควันเลย ...เป็นงั้นไป

งงมั้ยล่ะ ทำไมสั่งได้ ...เอ้า เขาหลอกไว้ใช้ไง ...ถ้าสั่งไม่ได้ มันตายไปนานแล้ว  ถ้าสั่งกายไม่ได้ในการเคลื่อนไหวหรือเปลี่ยนอิริยาบถ  มันตายซะตั้งแต่เกิดแล้ว...ไม่รอด

เพราะนั้นการเปลี่ยนอิริยาบถนี่ เขาให้เปลี่ยน... ธรรมชาติ กรรมวิบากนี่เขาให้มาเปลี่ยน มีอำนาจในการเข้าไปเปลี่ยนอิริยาบถแห่งกายได้ ถือเป็นการบรรเทาทุกข์ ที่มันมีความบีบคั้นในตัวของมันเอง

กายนี่มันมีความบีบคั้น หรือเป็นไฟที่มันเผาไหม้ในตัวของมันเอง ...ถ้าธรรมชาตินี้ไม่อนุญาตให้มีการเคลื่อนไหวหรือบงการสั่งการในการเปลี่ยนอิริยาบถกายได้นี่

แล้วกรรมวิบากนี่มันจะปรากฏได้ไหม ...การให้ผล การรับผล การสืบเนื่องของขันธ์ที่จะไปตรากตรำรับผลแห่งวิบากในอดีต ก่อวิบากในอนาคต มันทำไม่ได้

เพราะนั้นกระบวนการหมุนวน หมุนเปลี่ยนผันแปรในวัฏสงสารนี่ มันจะคงสภาพนี้ไม่อยู่ ...ทั้งหมดนี่มันเป็นระบบจักรวาล หรือระบบของธรรมชาติของไตรลักษณ์ มันจะอยู่ในระบบนี้

แล้วเรามาตกอยู่ใต้ระบบ ใต้อำนาจระบบนี้ ด้วยความไม่รู้ไม่เข้าใจ แล้วมาเกิดความหมายมั่นแบบผิดๆ ...จึงเป็นเหตุซ้ำเหตุซ้อน ย้ำลงไปในความวนเวียนไม่จบและสิ้นลงไปอีก

ไม่มีใครกลัวหรอก..ภัยในวัฏสงสาร ...ถ้าไม่มีใครเห็นปัจจยาการเหล่านี้ด้วยตาใน...คือตาปัญญานะ 

ไม่ใช่ตานอกนี่ ไอ้ตาเนื้อนี่สั้นมาก เรายังต้องใส่แว่นเลย มันไม่เห็นการณ์ไกลอะไรหรอก มันเห็นแค่ตรงนี้ อะไรมาปิดมาบังตาก็มองไม่เห็นแล้ว ตานี้มันสั้นจะตายชัก

แต่ตาปัญญานี่มันเห็น เห็นกว้างเห็นไกลกว่านั้น เห็นได้ลึกซึ้งซับซ้อนของปัจจยาการที่เกิดความสืบเนื่อง แม้กระทั่งการตายและการเกิด ...แต่ถามมันสิ ถามจิตตอนนี้สิ มันเชื่อร้อยเปอร์เซ็นต์ไหม

ไม่เชื่อหรอก ถูกบังคับให้เชื่อ และจำเป็นต้องเชื่อ เพราะนับถือพุทธ ...ลึกๆ น่ะจริงๆ มันไม่เชื่อหรอก ว่าจะเกิดอีก หรือมันเกิดจริง หรือเคยเกิดมาก่อน ยังไม่เชื่อเลย แต่แกล้งทำเป็นเชื่อไว้ก่อน เดี๋ยวเขาด่า

นี่ก็ไม่ได้มาไซโคให้เชื่อนะ แต่เมื่อใดที่เราฝึกไปเรื่อยๆ ด้วยศีลสมาธิปัญญา แล้วมันมีตาข้างในนี่มันเห็น มันเห็นแล้วมันจะเชื่อ...เพราะอะไร เพราะมันเห็นปัจจยาการ

ตราบใดที่เหตุแห่งปัจจยาการยังไม่ดับ ยังไม่สุด ยังไม่หาย ยังไม่สิ้นนี่ ...ปัจจยาการจากเหตุนี้มันจะเกิดความสืบเนื่อง สิ่งนี้เกิด..สิ่งนี้เกิด...สิ่งนี้เกิดต่อ..สิ่งนี้เกิดต่อ

ตราบใดที่เหตุนี้ยังอยู่นี่ ไม่มีคำว่าจบสิ้นปัจขยาการแห่งการเกิดได้เลย …นี่ ตรงนี้ต่างหากที่จิตมันไปเห็น แล้วมันจึงเชื่อว่าการเกิดและการตายนี่ไม่จบ มีอยู่ไม่จบ

จะรู้ก็ตาม-ไม่รู้ก็ตาม แต่ปัจจยาการนี้ จะมีต่อเนื่องไป ไม่มีคำว่าจบในตัวของมันเองได้เลย ตราบใดที่ยังไม่เข้าไปดับที่เหตุ ที่ท่านเรียกว่านิโรธ ...นิโรธแปลว่า ความดับไปที่เหตุ ทั้งหลายทั้งปวง

ถ้าเหตุนี้ดับ...ผลไม่มี  ความสืบเนื่อง ความก่อเกิด ความเป็นปัจจยาการ...ไม่มี ...นั่นแหละหมายความว่า การเกิดและการตายไม่มี เพราะการเกิดและการตายนี่คือปัจจยาการของการสืบเนื่องอย่างหนึ่ง

พระสัมมาสัมพุทธเจ้า ที่ท่านตรัสรู้ แจ้งในอริยสัจ ๔ และปฏิจจสมุปบาท คือปัจจยาการเหล่านี้ ...ท่านเข้าใจ แล้วท่านแก้ตรงไหน ...ท่านไม่ได้แก้ที่ตรงไหนเลย ท่านมาละ หรือมาดับที่เหตุ

จึงเรียกว่าสมุทัย คือท่านเห็นว่าอะไรเป็นเหตุ แล้วมันต้องดับตรงไหน มันต้องแก้ตรงไหน...ปัจจยาการน้อยใหญ่จึงจบ จึงหยุด จึงไม่สามารจะก่อเป็นปัจจยาการได้อีกต่อไป

ด้วยปัญญาญาณ ด้วยปัญญาของสัมมาสัมพุทธะ สัมมาสัมโพธิญาณของท่าน...นี่เป็นโพธิญาณด้วยนะ ...คำว่าโพธิญาณหมายความว่า ไม่ได้ยินไม่ได้ฟัง ไม่ได้รู้จากตำราใด แต่รู้ได้ด้วยตัวเองเลยจริงๆ 

นี่ ค้นได้ด้วยตัวเอง เจอเหตุได้ด้วยตัวเองจริงๆ ...จึงเห็นว่ากายนี้แลเป็นเหตุหนึ่ง กับใจนี้แลเป็นเหตุอีกอย่างหนึ่ง  สองอย่างนี่เป็นเหตุแห่งความสืบเนื่องหมุนวน ไม่จบและสิ้น

ได้การแล้ว...ท่านก็คงตบหน้าขาอยู่ในใจล่ะนะ  หามานาน แก้มานาน แก้มาหลายที่ ไม่จบสักที ...พอมาเริ่มชัดเจนในเหตุ และเหตุนี้มันอยู่ตรงไหน...อยู่ตรงนี้นี่เอง

ตรงนี้คือตรงไหน ...ตรงปัจจุบันกาย ปัจจุบันรู้นี่เอง ...ได้การเลย ทีนี้ ไม่ไปไหน ไม่ให้จิตไปไหน จรดลง จ่อลงไป ...นั่น ท่านลงที่เหตุ ท่านละที่เหตุ

ท่านก็เห็นแต่ความดับไปของปัจจยาการน้อยและใหญ่ ไม่มีการเข้าไปประกอบเหตุให้เกิดเป็นปัจจยาการสืบเนื่องด้วยความอยากและความไม่อยาก

นั่นแหละคือสมุทัย ที่ท่านบอกว่าให้ละไง...จาโค ปฏินิสสัคโค มุตติ อนาลโย ...ท่านเห็นเลยว่า ไอ้ตัวที่ทำให้เกิดความสืบเนื่องของปัจจยาการน่ะ มีอยู่สองอย่างใหญ่ๆ

คือความอยากและความไม่อยาก นี่ ก็ละๆๆๆๆ  ละที่ตรงเหตุน่ะ ...มันจะออกมาจากเหตุ คือเนื่องด้วยกายนี้ไป เนื่องด้วยใจนี้ออกไป

เนื่องด้วยกายนี้ออกไปคือ กายเรา กายเขา กายคนนั้น กายคนนี้ กายสวย กายงาม กายดีกายร้าย กายไกลกายใกล้ กายละเอียดกายประณีต กายดีกว่า กายเลิศกว่า กายประเสริฐกว่า...ไม่เอา

เกินใจนี้ออกไปคือ จิตโน่น จิตคิดอย่างนั้น เรื่องอย่างนี้ เรื่องอย่างนั้น อารมณ์อย่างนี้ อารมณ์อย่างนั้น ความดีความงาม ความถูกความผิด ...มันเกินเลยจากนี้ไป เป็นปัจจยาการที่สืบเนื่องไป...ไม่เอา

ละๆๆๆ ละออก นี่ท่านประกอบเหตุ ละสมุทัย ด้วยมรรค  คือละๆๆ ละอยู่ภายใน จนเหลือแค่กายใจเปล่าๆ ...เป็นกายใจที่ว่างจากอัตตาตัวตนของใคร จึงเรียกว่าเหลือเพียงแค่กายใจเปล่าๆ

ณ ที่กายใจเปล่าๆ ตั้งอยู่นี่...ไม่สามารถจะมีกิเลสตัวใดตัวหนึ่งจะตั้งอยู่ได้ แล้วมาเป็นเหตุมาเป็นตัวที่เข้าไปประกอบเหตุนี้ให้แตกกระสานซ่านกระเซ็นออกไปเป็นอดีตอนาคต

เมื่อกี้ว่าตบเข่าผาง ตอนนี้ก็ตบหัวปึ่กเลย ...หามาสี่อสงไขยแสนมหากัป ไม่ใช่เรื่องเล็กๆ นะนั่นน่ะ แต่เวลาท่านเอามาเรียบเรียงธรรมคำพูดเป็นสวากขาโต ภควา
 
สวากขาโต ภควตา ธัมโม นี่คือหมายความว่า ท่านมาจำแนกธรรมออกมา มาแยกแยะแจกแจงออกมา นี่ ฟังดูเหมือนง่าย...ศีลสมาธิปัญญา มรรคมีองค์ ๘

แต่พวกเราฟังกันเหมือนง่าย จนรู้สึกว่า “คงไม่ได้อะไรหรอก” ...เนี่ย สี่อสงไขยแสนมหากัป จึงจะเจอคำนี้ และวิธีอย่างนี้ และหรือความจริงเช่นนี้

มีบุญนะเนี่ย เหมือนนั่งอยู่เฉยๆ แล้วมีคนเอาข้าวมายื่นให้เข้าปากน่ะ  แล้วข้าวนี่เป็นข้าวปลอดสารพิษ ไร้สารมลพิษแขวนลอย เขาเรียกว่าเป็นออร์แกนิค กินดีถ่ายคล่อง ไม่มีโทษ

มีปัญหาอย่างเดียวคือ...กูไม่กิน ...เออ ประหลาด ของดีอยู่ต่อหน้า ยื่นให้ด้วย...กินนะคะ กิน ...ตอนแรก เอ้า กิน จะกินรึเปล่า  นี่ ต้องบังคับนะ ถึงขั้นบังคับ ถึงจะยอมกินสักหนึ่งคำ

มันง่ายเกินไปล่ะมั้ง สี่อสงไขยแสนมหากัปที่พระพุทธเจ้าฝากไว้นี่ ...ของดีให้กิน..ไม่กิน กลับไปขอทาน เป็นพวกร่อนเร่พเนจร หาเช้ากินค่ำ หาค่ำกินเช้า หาเช้ากินบ่าย กินเย็น กินพรุ่งนี้ กินมะรืนนี้

ชอบไปหากินแบบซำเหมา คนจรหมอนหมิ่น ไร้บ้าน ขาดญาติขาดมิตร แต่บอกว่าอร่อยดี ...เหมือนขอทานนี่ ทั้งๆ ที่ว่าธรรมนี่ ยื่นให้ วางไว้ อยู่ต่อหน้าต่อตา

เราถึงบอก...เสียดายชาติเกิดจริงๆ ปล่อยให้เวลามันหมดไปทุกขณะวินาทีกับความไม่รู้เนื้อไม่รู้ตัว ...แล้วมันเอาคืนไม่ได้นะเวลาที่ผ่านไปน่ะ กลับปล่อยให้มันผ่านไปกับความสนุก ความเผลอเพลิน ลอยๆ เลื่อนๆ

เวลานั่งรถมานี่น่ะ ตั้งหนึ่งชั่วโมงครึ่งมาถึงนี่ ...ทำไมมันรู้ว่าหลังพิงพนักไม่ได้ มันรู้สึกถึงก้นที่มันอยู่บนเบาะไม่เป็นหรือไง หรือมันไม่มีให้เห็น หือ มันยากเกินไปหรือไง

มันต้องเสียเงินไหม ต้องมาจ่ายเงินค่าต๋งกับเรารึเปล่ามันถึงจะเห็น ทำไมไม่ดู มันหมดเวลาไปแล้วนี่ชั่วโมงครึ่ง ระหว่างนึกว่าอาจารย์อยู่รึเปล่า วันนี้อาจารย์จะพูดเรื่องที่เราสงสัยติดค้างรึเปล่า 

มันจะมานึกทำไม หือ ของมันอยู่นั่น หลังพิงเบาะ มือกำพวงมาลัย ทำไมไม่รู้สึก ธรรมเขาสอนอยู่เบื้องหน้าน่ะ กลับมานั่งนึก “เดี๋ยวฟังธรรมแล้วจะได้ทำให้ดียิ่งขึ้น” ...เอ้า มันรอธรรมข้างหน้า

รอทำไม ...เออ ระหว่างรอนี่ รถชนปัง...ตาย ทำไงล่ะ ใช่ไหม ...ความตายนี่มาแบบไม่มีนิมิตหมายนะ ไม่มีลางบอกเหตุล่วงหน้าเลยนะ ใครจะไปรู้ล่ะ ...ไม่ได้แช่ง แต่มันมีสิทธิ์ทุกคนนะ เราก็เหมือนกัน

ใครจะไปรู้ เรายังไม่รู้เลยว่าจะตายเมื่อไหร่ ตายแบบไหน ในน้ำ บนดิน บนเตียง ...ตกหลังคาก็เกือบตายมาแล้ว มันเหลือเดน แบบทนายมายื่นโนติสขั้นรุนแรง คือไปดีไม่ได้กูก็กระชากมึงไปเลย ประมาณนั้น

นี่ ธรรมนี่มีติดเนื้อติดตัวมาตั้งแต่เกิด แล้วมันหมดเวลาไปแล้วครึ่งหนึ่ง...เกินครึ่งกันด้วย ...แต่ยังทัน ยังทัน ...ทันเพราอะไร พระพุทธเจ้าบอก ๗ ปี ๗ เดือน ๗ วัน

ถ้ามันเข้าใจ ถ้าทุกคนทุกท่านนี่เข้าใจตรงต่อศีลสมาธิปัญญา แล้วเอาไปปฏิบัติให้มันตรงนะ ...นี่ พูดในฐานะที่ปฏิบัติตรงต่อศีลสมาธิปัญญานะ ปฏิบัติตรงนะ

ไม่ใช่พูดถึงแบบที่ทำไปเรื่อยๆ พอใจอันไหนก็ทำอันนั้น เดี๋ยวเบื่อกายก็ไปพุทโธ เดี๋ยวเบื่อพุทโธก็มากำหนดลมหายใจเข้าออก เดี๋ยวเบื่อลมหายใจเข้าออก จิตไม่สงบ ก็มาหนอ

พอนั่งหนอ ยืนหนอ เดินหนอ  เอ๊ะ ตอนเรียนมหาวิทยาลัย เคยสัมมาอรหัง เนี่ย ไปมาๆ ก็อยู่อย่างนี้ ...นี่คงไม่ ๗ ปีแน่ รับรอง  อันนี้รับรองแทนพระพุทธเจ้า ไม่ ๗ ปีแน่ๆ

ศีลอยู่ไหน สมาธิอยู่ไหน กูยังไม่รู้จักเลย ...รู้จักแต่ว่าวิธีการจะเข้าถึงศีล จะเข้าถึงสมาธิ แล้วก็จะเข้าถึงปัญญาได้เอง นี่ แต่ตัวเองก็ให้คำตอบไม่ได้ว่ามันจะเข้าได้จริงรึเปล่า

แต่การที่เข้าไปจริงๆ เลยนี่...อีกเรื่องหนึ่งนะ มันไม่มีวิธีเลยนะ ...เพราะนั้นวิธีอยู่ตรงไหน อยู่ตรงที่รู้ว่านั่งนี่  เอ้า ดูซิ มันง่ายจนว่า..อื้อ อึ๊ อ๊ะ อะไรวะ มันจะอย่างงี้เหรอ นั่น จนงงนะ

แล้วก็ไปว่า...มันต้องทำให้มันมีแพทเทิร์นซะหน่อยไหม นั่น มันน่าจะต้องมีแพทเทิร์นหรือรูปแบบอะไรสักอย่างไหมเนี่ย หือ ไม่มีท่าทางนี่มันเหรอๆ หราๆ โว้ย

อู๋ย บอกให้...ไอ้เหรอๆ หราๆ นี่ จบมาไม่รู้กี่องค์แล้ว เออ เชื่อรึเปล่า...ไม่รู้ ไปแล้วไปลับ ไปแล้วไม่กลับมาน่ะ 


(ต่อแทร็ก 10/33)




แทร็ก 10/32 (1)



พระอาจารย์
10/32 (560407A)
7 เมษายน 2556
(ช่วง 1)


(หมายเหตุ  :  แทร็กนี้แบ่งการโพสต์เป็น  2  ช่วงบทความ)

พระอาจารย์ –  ยังไม่เข้าใจ ยังไม่รู้จัก ...มันเห็นแต่ธรรมที่ไกลตา ไกลปัจจุบัน ห่างปัจจุบัน เกินปัจจุบัน ...มันไปเห็นแต่ธรรมตัวนั้น แล้วก็ไปหลงธรรมเหล่านั้น

ว่าเป็นจริงเป็นจัง เป็นเราเป็นเขา เป็นสัตว์เป็นบุคคล เป็นตัวเป็นตน เป็นดีเป็นร้าย เป็นถูกเป็นผิด เป็นของเขาเป็นของเรา ...เหล่านี้ต่างหากที่มันเกิดความวุ่นวายไม่จบและสิ้น

ฝืนก่อนในตอนแรก แล้วทุกอย่างจะค่อยๆ สบายเมื่อปลายมือ ...ยามใกล้ตาย กำลังจะตาย หรือก่อนตายนี่ มันจะสามารถเผชิญ รับทราบรับรู้ ด้วยภาวะที่สงบและเป็นกลาง

ยอมรับต่อธรรมที่เรียกว่าตาย  สมมุติภาษาที่เรียกว่าตาย ลักษณะอาการของขันธ์ที่เรียกว่าตาย ...ด้วยความไม่หวั่นไหว เกรงกลัว เป็นทุกข์ เร่าร้อน

ไฟนอล ข้อสอบสุดท้าย ...ถ้าสมัยเราเรียนก็เรียกว่าเอ็นทรานซ์ สมัยนี้มันเรียก อีแกทไอ้แกทอะไรก็ไม่รู้ แต่สมัยเราเขาเรียกว่าเอนทรานซ์ ...จบ-ไม่จบ เกิด-ไม่เกิด ตรงนั้นน่ะรู้

แต่ส่วนมากมันไม่รู้ ตรงนั้น ไม่รู้...ตายไปแบบไม่รู้ตัว ไม่รู้ว่าใจอยู่ไหนกายอยู่ไหน มันไม่รู้ ...ไอ้ตายแบบไม่รู้น่ะเกิดแน่ๆ เชื่อไว้เลย  ไปลองดู ไปลองตายกันดู

เอ้า มันต้องได้ลองตายกัน เชื่อสิ  มันไม่มีใครตายเป้งทีเดียว ในครั้งแรกหรอก เดี๋ยวก็ได้หามกันร่องแร่งๆ ก่อนแล้ว เฉียดตายใกล้ตายก่อนทุกคนแหละ คือเรียกว่าสอบซ้อม ซ้อมสอบ

เขาเรียกว่าประเภท...โลกเขากำลังยื่นโนติส ทวงคืน ทวงบ้านคืน ไอ้อยู่มานาน อยู่จนเพลินน่ะ แล้วนี่มาบอกบ้านของเราซะแล้ว แท้ที่จริงน่ะเช่าเขานะ เขาให้เช่าอยู่แค่ชั่วคราว 

ก็ทำพันธะสัญญากันไว้ ๖๐-๗๐-๘๐ ปี ไม่รู้ แต่ละคนไม่เหมือนกัน...พันธะสัญญาคือกรรม มาเช่าอาศัยเขาอยู่ ...เพราะนั้นเวลาเจ็บป่วย หอบหิ้วหรือหามไปโรงพยาบาล หมายความว่าทนายนี่เขายื่นโนติส ...ใกล้จะเอาคืนแล้ว

แล้วส่วนมากมันจะดื้อแพ่ง เถียงอีกต่างหาก มีเถียงอีกด้วยนะ ไม่ยอมๆ แต่ถ้าคนที่มีปัญญาก็จะรู้ว่า...เออ เฮ้ย ใกล้จะคืนกันแล้วนะ ใกล้จะถูกไล่ที่แล้วนะ จะทำยังไง หาที่อยู่ใหม่หรือยังไงดี

นั่น ถ้ามีปัญญามันก็จะรีบสำรองที่...ที่ที่ว่าจะไม่ต้องถูกไล่ที่อีกแล้ว ถ้ามันมีที่ หรือยังไปยืมเขาน่ะ ยังไงก็ถูกไล่ที่ไปวันยันค่ำคืนยันรุ่ง ...แล้วทำยังไงมันถึงจะไม่ถูกไล่ที่อีก

ตรงนั้นน่ะคือจุดที่ตายใจได้ วางใจได้ คือไม่ไปเกิด แล้วไม่ไปยึดหมายที่ใดที่หนึ่งเป็นที่อยู่อาศัย ...นั่นต่างหากคือคำว่าสิ้นภพและจบชาติ ที่นั้นวางใจได้ เป็นกลางที่สุด

แต่ตอนนี้วางใจไม่ได้ เพราะมันยังไม่เข้าใจเลยว่าบ้านนี้ไม่ใช่ของเรา ...จนวันตาย กำลังจะตาย และแม้กระทั่งตายแล้ว ก็ยังบอกว่าไม่ยอม มันเป็นของเรา ไม่ยอมให้พัง สลาย ดื้อแพ่งจนแม้ลมหายใจสุดท้ายจะขาดสิ้น

เพราะนั้น อย่าเห็นภาวนาเป็นเรื่องเล็กน้อย หรือเป็นเรื่องของคนอื่น หรือเรียกว่ายังไม่ถึงวัยอันควร ...อายุมันจะตายเมื่อไหร่ก็ไม่รู้ แล้วก็ภาวนาไม่ใช่ว่ามันอยู่ไกล หรือว่าทำได้ยาก

มันยากก็แค่ว่าการฝืน การทวนเท่านั้นเอง ...แต่ว่าสิ่งที่ฝืนแล้วมาอยู่กับตรงไหน ฝืนแล้วมาอยู่กับอะไร นี่ มันมีอยู่แล้ว คือกายปัจจุบัน อิริยาบถปัจจุบัน

รู้โง่ๆ ลงไป รู้ตรงๆ ลงไป รู้ตรงลงที่กาย  รู้ตรงเห็นตรงอยู่แค่นี้แหละ ไม่เอาอะไรนอกจากนี้ ...ไม่มีธรรมะอันบรรเจิดวิจิตรพิสดารล้ำเลิศ อย่างที่เคยอ่าน เคยเข้าใจ หรือเคยฝันเคยหวังไว้

มันก็เห็นแค่กายก้อนนี้ ด้านๆ ดื้อๆ ทึบๆ ไม่มีชีวิต เป็นแค่สิ่งหนึ่ง อาการหนึ่ง แค่นี้แหละ ย้ำๆ ซ้ำซากลงไป ...มันก็จะเกิดความชัดเจนขึ้นในระหว่างสองสิ่ง...กายก็ชัด รู้ก็ชัด

เมื่อมันเข้าใจ เมื่อมันเห็นชัดเจนในของสองสิ่ง ...จิตมันจะเข้าใจ จิตผู้ไม่รู้นี่ มันจะเข้าใจธรรมชาติที่แท้จริงของกายว่า ธรรมชาติที่แท้จริงของกายคืออะไร

ก็ไม่ใช่อะไรเลย ...เป็นเพียงของเกิดดับชั่วคราว เป็นเพียงของเกิดดับชั่วคราวจริงๆ เถียงไม่ได้เลย ...นี่ มันเข้าใจถ่องแท้ในธรรมชาติของกายอย่างนี้เลย

แล้วอีกธรรมชาติหนึ่ง คือธรรมชาติใจ ...มันก็ถ่องแท้ในธรรมชาติของใจ ที่เป็นภาวะที่ไม่เกิดไม่ดับ ไม่มีที่ตั้ง ไม่มีสัณฐาน ไม่มีสีสัน ไม่มีวรรณะ ไม่มีเพศ ไม่มีมากไม่มีน้อย ไม่มีขาดไม่มีเกิน

มันมีแต่รู้ๆๆ รู้อย่างเดียว เป็นธาตุรู้ ทำหน้าที่เพียงรู้ในตัวของมันเอง ...จะทำยังไง จะบังคับให้มันเปลี่ยนแปลงลักษณะอาการเป็นอื่น ก็ไม่มีคำว่าเปลี่ยนแปลงไปตามการกระทำใดๆ เลย...ก็มีแต่รู้

จิตผู้ไม่รู้ เมื่อมันมาเข้าใจธรรมชาติที่แท้จริงของสองสิ่งนี้แบบตรงไปตรงมาแล้ว ...เรื่องราว เหตุการณ์ ความมีความเป็น ความจะมี ความจะเป็น ความอยากมีอยากเป็น ทั้งหลายทั้งปวงนี่...หมด แล้วก็จบ โดยสิ้นเชิง

ซึ่งแต่ก่อนเราเอาล่อเอาเถิดกับจิตมาเป็นวรรคเป็นเวร แทบเป็นแทบตาย แทบล้มประดาตายเลย ...พอมาถึงจุดที่มันเข้าใจสภาพแท้จริงของกายกับใจชัดเจนโดยไม่มีกังขา ไม่สงสัยลังเลนี่...จบ หยุด

ตาย...จิตนะ ตายจากความปรุงแต่ง ตายเลย ...ไอ้จิตปรุงแต่ง ความปรุงแต่ง ตายไปเลย สิ้นซากไปเลย ตายแบบสิ้นซากไปเลย ซากยังหาไม่เจอเลย

ถ้ามันตายแบบสิ้นซาก หมายความว่ามันจะไม่มีเชื้อประทุอยู่ภายในแล้ว ...แต่ตอนนี้ของพวกเรา ไอ้ที่ว่า ว่างๆ น่ะ มันยังตายไม่จริง มันแอบไปนอน หรือสลบไปชั่วคราว ประมาณนั้น

แต่จริงๆ มันยังมีเชื้อประทุอยู่ รอน้ำมันที่ถูกกับยี่ห้อมัน คือตอนนี้มันยังเลือกยี่ห้อนะ ซึ่งแต่ก่อนไม่เลือกยี่ห้อเลย ขอให้เป็นน้ำมันมา...กูลุกหมด ไฟไหม้ทันที เร่าร้อนทันที

น้ำมันอยู่ที่ไหน...รูปกลิ่นเสียงสัมผัส ความคิด อดีต อนาคต พวกนี้น้ำมัน...โลกคือไฟ โลกคือน้ำมัน ...เชื้อประทุอยู่นี่ ไหม้กันข้ามโลกข้ามภพ ไหม้กันแบบไม่มีวันดับ ไม่หมดเชื้อเพลิงน่ะ มันเป็นอย่างนั้น

ฟืนกับไฟ น้ำมันกับไฟนี่ ...ใส่เข้าไปเถอะ ไม่มีคำว่าอิ่มหรือว่าพอ ใช่ไหม ...ฟืนเต็มคันรถสิบล้อ หรือฟืนแค่กำมือเดียว...ก็ไหม้หมด ใส่เข้าไปเถอะ

เหมือนกันกับกิเลสความไม่รู้ภายใน กับโลกที่อยู่ล้อมรอบตัวขันธ์ หรือว่าตัวขันธ์เองน่ะ เหมือนฟืน แล้วมันเจอกับเชื้อประทุ มันก็ไหม้

ผลแห่งการเผาไหม้คืออะไร...ความเร่าร้อน รุ่มร้อน หรือความเป็นทุกข์นั่นเองแต่ทุกข์อันนี้นี่ ที่เกิดเป็นความเร่าร้อนอย่างนี้ พระพุทธเจ้าท่านเรียกว่าทุกข์อุปาทานนะ ไม่ใช่ทุกขสัจนะ

มันเป็นทุกข์ที่ไม่สมควรจะมี ใช่ไหม ทำไมถึงไม่สมควรมี ...ก็ถ้าไฟกับเชื้อมันไม่เจอกันนี่ มันจะลุกไหม้ไหม ...ไม่ไหม้  ต่างคนต่างอยู่สิ แล้วก็ต่างคนต่างหมดวาระไป

แต่คราวนี้ไอ้ตัวนี้มันหมดวาระ แต่ไอ้อันนี้..คือไอ้ธรรมชาติของรู้ หรือธรรมชาติของใจ อันนี้มันไม่หมดวาระ  ส่วนไอ้ตัวนี้มันมีวาระ..หมดวาระๆ แต่อันนี้ไม่มีหมดวาระ

ดูไปดูมานะ...คือถ้าถึงธรรมชาติที่สุดของมันแล้ว จะเห็นเลยว่าอันนี้ มันเป็นอมตะ อมตะแบบอนันตกาล ไม่เกิดและไม่ดับ ไม่มีอะไรมาทำให้ดับ และก็ไม่มีอะไรมาทำให้เกิดในสิ่งนี้ได้เลย

เรียกว่ามันเป็นภาวะสภาพที่เรียกว่ายิ่งกว่า untouchable น่ะ ...คำว่า untouchable นี่ไม่ได้หมายความว่าการกระทำของรูปนามกายภาพนี้เท่านั้นนะ untouchable แม้กระทั่งบัญญัติสมมุติภาษาก็ไม่อาจแบ่งแยกสภาวะใจนี้ได้เลย 

ถ้าจิตมันเข้าไปเห็นความเป็นจริงของธรรมชาติสองตัวนี้แล้ว ทั้งหมดทั้งหลายทั้งปวงนี่...ทิ้งโดยไม่อาวรณ์ หมดค่าโดยปริยายเลย จึงเรียกว่าใจนี้เป็นใหญ่ ใจนี้เป็นประธาน ทุกอย่างสำเร็จด้วยใจ 

แต่กลับกัน พวกเราตอนนี้...กิเลส “อวิชชา” เป็นใหญ่เป็นประธาน ทุกอย่างสำเร็จด้วยอวิชชา เป็นงั้นไป ...ก็เรียกว่าทุกอย่างสำเร็จด้วย “เรา” นั่น ...เราก็คิด เราก็ทำ เราก็พูด เราก็เห็น เราก็ได้ยิน เราก็โดนด่า เราก็โดนชม

มันมีแต่ “เรา” เป็นใหญ่  “เรา” เป็นประธาน ...มันเป็นอย่างงั้นได้ยังไง มันพลิกหน้ามือเป็นหลังตีนนั่นน่ะ ของไม่จริงมันทำให้เป็นจริงแบบหน้าด้านๆ น่ะ...จิตนี่

พอพูดมากๆ ก็หาว่าด่าอีก ...เอ้า ก็ด่าน่ะสิ...ไม่ได้ด่ามึง ด่ากิเลส   ด่า “เรา” ๆๆ ...ก็อย่ามาถือว่า “เรา” คือตัวเองสิ ก็ “เรา” ก็คือมัน “เรา” ก็คือกิเลส ...ไม่ได้ด่าใคร 

ก็ด่ามัน ด่า “เรา” น่ะ เนี่ย ก็ไปถือว่า “เรา” คือตัวนี้ ...ก็เลยถูกความรู้สึก...ความรู้สึกเป็น "เรา" นี่เข้ามาครอบครอง เนี่ย เรียกว่าอวิชชาเป็นใหญ่เป็นประธาน

กว่าที่จะโค่นบัลลังก์ลง หรือว่าฆ่ามันทิ้ง กว่าจะถึงตัวมันนี่ เจอเสนามาร องครักษ์มาร ล้อมรอบเลยนะ ...ก็อาศัยภูมิปัญญานี่ ที่ทำ...เป็นความพากเพียร เป็นขณะๆ ไปนี่ คอยและๆ เล็มๆ

แล้วอย่ามักง่าย ฝันหวาน ...ปัญญาน้อยนิดขี้ปะติ๋ว สติอันเบาบาง สมาธิเท่าปลายเข็ม...อย่าไปคิดฝันว่าจะทำลายล้างอวิชชาได้ทันที ...เป็นไปไม่ได้ เป็นไปไม่ได้เลย

แต่อาศัยกำลังตรงนี้ ค่อยๆ และเล็ม ทีละนิด ทีละขณะ...อาศัยทีละนิด ทีละขณะ แต่ว่าต่อเนื่อง ...มันก็จะค่อยๆ โอบล้อม รวม จำกัด ไม่ให้มันแผ่อาณาเขตหรือว่าประเทศราชของมัน

คือการเข้าไปถือครองในสิ่งนั้นสิ่งนี้ อาการนั้นอาการนี้ บุคคลนั้นบุคคลนี้ การกระทำอย่างนั้นอย่างนี้ อดีตอนาคตอย่างนั้นอย่างนี้ ...พวกนี้ เรียกว่าประเทศราชของมัน

นี่คือ สามโลกธาตุ สามภพ เข้าใจมั้ย จิตนี่ไม่มีประมาณนะ จิตที่ปรุงแต่งนี่ ไม่มีประมาณ ...นึกสิ นึกถึงขอบจักรวาล ปึ้บนี่..ขอบจักรวาลปรากฏเลย ไปแล้ว ไปถึงขอบจักรวาลแล้ว...ไวปานลิง

แล้วไม่มีขอบเขต ไม่มีทิศทางด้วย นึกเมื่อไหร่ ไปเลย ...เพราะนั้นอาณาเขตประเทศราชของมันนี่ คือหมายความว่า มันจะไปกินไปนอนได้ทุกที่เลย นั่นแหละคือภพ 

มันจะไปตั้งภพที่ไหนก็ได้ ตามอำเภอใจ ตามอำนาจของความปรุงแต่งเลย ...ถึงบอกว่าดูเหมือนไม่น่ากลัว แต่จริงๆ น่ากลัวมากเลย นั่น ถ้าไม่เห็นมันแบบคาหูคาตา ตำตาตำใจแล้วนี่ 

มันก็เฉยๆ ไม่รู้สึกเลยว่าเดือดร้อน ไม่รู้สึกเลยว่ามันเป็นทุกข์ หรือเป็นเหตุให้เกิดทุกข์ หรือเป็นตัวนำพาให้เกิดความวนเวียนในทุกข์เลย ...นี่ จึงมีความประมาทเผลอเพลินเป็นตัวยืนพื้น

ไม่เห็นเป็นไรเลยๆ นั่งอยู่นี่ไม่เห็นเป็นไรเลย ทุกข์ก็ไม่มี  พอทุกข์ก็ขยับขา คุมได้ จัดการได้อีกต่างหากด้วย...ขาของเรานี่ เราก็ยกออก ก็หายแล้วนี่ ไม่เห็นต้องทำอะไรมากกว่านี้นี่

ง่ายดีไหมล่ะ ...นี่ กิเลสมันเอาอะไรง่ายๆ มาว่า มาปก มาปิด มาบัง  แล้วมาว่าแค่นี้..แค่เราขยับแขน ขยับขาได้ ก็บอกว่ากายนี้เป็นของเราแล้ว ...เออ หุ่นกระบอกน่ะ

เอ้า ถ้าแน่จริง สั่งให้หัวใจเต้นช้าลงหน่อย สักห้าครั้งสิบครั้งต่อนาทีซิ สั่งได้ไหม  สั่งให้ลมหายใจมันทิ้งช่วงหน่อย เหนื่อยว่ะ หายใจทั้งวันตลอดชีวิต พักซะหน่อย ...เห็นมั้ย ไม่ได้นะ

พอมาสั่งการขั้นนี้ระดับนี้ ไม่ได้แล้วนะ เอ้า วันนี้กินมาก ย่อยให้หมดแล้วถ่ายออกไม่เก็บคั่งค้างอยู่ในร่างกายเลย สั่งได้ไหม ...ไม่ได้ ...เอ้า ไหนว่าสั่งได้ไง


ก็ได้แค่เคลื่อนไหวน่ะ แล้วก็บอกว่า...ที่เคลื่อนไหวได้นี่ กายมันเป็นของเรา ไม่งั้นเราจะสั่งมันไม่ได้สิ ก็สั่งได้นี่ ...แน่ะ มั่วไหม ขามั่ว ขาโจ๋เลย


(ต่อแทร็ก 10/32  ช่วง 2)