พระอาจารย์
10/24 (560317E)
(แทร็กชุดต่อเนื่อง)
17 มีนาคม 2556
(ช่วง 2)
(หมายเหตุ : ต่อจากแทร็ก 10/24 ช่วง 1
เกิดมารูปลักษณ์ใหม่นะ
อาจจะเป็นผู้หญิงหรือจะเป็นผู้ชาย หรือจากผู้ชายมาเป็นผู้หญิง
หรือจากหน้าตาไม่ดีมาเป็นหน้าตาสวย ...จิตใจเหมือนเดิม อุปนิสัยเหมือนเดิม
สันดานเหมือนเดิม ไม่ได้ไปไหนหรอก
คนที่ตายจริงๆ น่ะคือพระอรหันต์
ท่านตายซะตั้งแต่ยังไม่ตายน่ะ ...ไอ้ที่มันตายของท่าน อะไรของท่านที่ตายแล้วนี่
นั่นแหละคือจิตปรุงแต่งหรือจิตสังขาร
มันตายซะตั้งแต่มันยังไม่ทันเกิด
แล้วก็อยู่ในเปลือกที่มันรอวันตายอยู่ เห็นมั้ย มันตายตั้งแต่ขันธ์ยังไม่ทันตาย
พอรอถึงวันตายมา ขันธ์มันตาย ...คราวนี้ตายจริงๆ
ขันธ์ก็ดับ จิตก็ดับ การเกิดก็ดับ
การตายก็ดับ...คือตายครั้งสุดท้าย...นี่ตายจริงๆ ไม่ใช่ตายเล่นๆ นะ …ไอ้พวกเรานี่ตายเล่น ...แค่ตายเล่นนี่ก็ร้องไห้กันเป็นวรรคเป็นเวรแล้ว
เสียดายขันธ์ เสียดายที่ผ่านมาของกาย
เสียดายการกระทำที่เคยผ่านมาของกาย
การสัมผัสสัมพันธ์ในรสชาติของกายที่กระทบสัมผัสกับอายตนะโดยรอบ ...มันเศร้าโศกอาดูรกัน
ไม่ต้องกลัว...ได้เจอกันใหม่แน่ ...แต่คราวนี้มันสำคัญว่าตอนเจอกันใหม่นี่มันลืม
มันจดจำการตายครั้งที่แล้วไม่ได้ มันก็นึกว่า..อึ๊ย เพิ่งมาเกิดนะเนี่ย ทุกคนน่ะ
จิตทุกคนน่ะ ไม่มีใครรู้หรอกว่าเคยเกิดมาก่อน
มันถูกปิดบังหมดน่ะ
มันก็เลยอยู่ไปวันๆ ด้วยความประมาท …กว่าจะที่มันจะฟื้นสติ
ฟื้นสมาธิ ฟื้นปัญญา ฟื้นของเก่าขึ้นมานี่ ส่วนมากมันจะอายุเกินยี่สิบสามสิบไปน่ะ
นอกเสียจากว่ามันอัดแน่นจริงๆ น่ะ
มันจะฟื้นตั้งแต่เจ็ดขวบขึ้นน่ะ คือมีสันดานมา ...คือมาถึงปึ้บนี่ เกิดมาในครอบครัวดี
เกิดมาในครอบครัวที่มีธรรม เกิดมาในครอบครัวของผู้ปฏิบัติ
มันก็ถูกหล่อหลอม ถูกแวดล้อม
แล้วก็ถูกสนับสนุน ...เหมือนกับไปเปิดคุ้ยเขี่ยตะกอนโดยภายนอก ทำให้เกิดการฟื้นตัวของของเดิมของเก่า มันก็ย่นระยะเวลาของการเดินไปในองค์มรรค
เพราะกว่าที่จะมาเริ่มต้นเดินในองค์มรรคนี่ อายุสามสิบสี่สิบ กว่าจะเริ่มเดิน ...แล้วก็.."เอ๊ะ เดินยังไง" ...ไม่ใช่พอเริ่มจะเดินแล้วเดินตรงเลยนะ ตรงแน่วเลยนี่...ไม่มีอ่ะ
มันก็หันรีหันขวาง ถอยหน้าถอยหลัง
เข้าไปแล้วก็ออก ออกไปแล้วก็เข้า เข้าถูกรูบ้าง เข้าไม่ถูกรูบ้าง อะไรอย่างนี้
ลองถูกลองผิด ใช่มั้ย ...เออ นี่ก็ปาเข้าไปอีกสักสิบปีแล้วมั้ง
นี่ มันไม่แน่ ...อย่าเถียง ยังไม่แน่ๆ
แต่ละคนน่ะ มันกำหนดไม่ได้หรอก ...ถ้าไม่ปักใจลงไปจริงๆ ตั้งมั่นจริงๆ ว่าศรัทธาที่เรียกว่าเป็นอจลศรัทธาจริงๆ
ในมรรคนะ ...มันยังกลับกลอกอยู่
ถึงบอกว่าปัญญาด้วยการสุตตะ-จินตานี่
เป็นตัวอบรมอย่างหนึ่ง เป็นกรอบอย่างหนึ่ง ที่มันจะไปล้อมกรอบของจิต
ที่มันโดดโลดแล่นไปมา หาไปมา ...แต่ที่มันสำคัญที่สุดคือภาวนามยปัญญานี่
แต่ถ้ามันถูกกรอบของความสุตตะ..ฟังด้วยดี จินตา..ใคร่ครวญตาม คิดตาม ด้วยความเป็นกลาง
ด้วยการที่ไม่เอาทิฏฐิมานะมาเป็นตัวคัดค้าน คัดง้าง ...แล้วมันจะเห็นสภาพ
แล้วก็เกิดความคล้อยไปตามสภาพของธรรมตามความเป็นจริงของศีลสมาธิปัญญา นี่
ตัวนี้มันจะเป็นกรอบภายนอกที่ทำให้เกิดความเชื่อมั่นภายในเกิดขึ้นในองค์ศีล
ในการปฏิบัติ หรือในองค์มรรค
ซึ่งตรงนี้สำคัญ ...แล้วก็ใช้เวลาตรงนี้ให้มากที่สุดในชีวิตประจำวัน โดยไม่เลือกกาลเวลา
ไม่เลือกรูปแบบของกาย คือรูปแบบว่าต้องอยู่ในท่านี้ หรือท่าเดินจงกรม ...คือจะไม่มีรูปแบบมาเป็นข้ออ้าง เงื่อนไข
ถ้าลักษณะนี้แล้วนี่ คืออะไร ...คือมันไม่เนิ่นช้าในองค์มรรค..ที่มันต้องวิ่งแข่งกับอายุขัยของขันธ์ คือใกล้ความตายเข้าไปทุกลมหายใจเข้าและออก ...มันแข่งกันอยู่นะ
แล้วเวลาที่มันหมดไปนี่
มันหมดเวลาไปกับนอกมรรค หรือมันหมดเวลาไปกับอยู่ในมรรคล่ะ
แต่อายุนี่มันหมดไปทุกขณะอยู่โดยตลอดเวลาอยู่แล้ว ...แต่ในขณะที่หมดไปนี่ มันหมดไปแบบเลื่อนๆ ลอยๆ หรือเปล่า หรือหมดไปกับตั้งอกตั้งใจทำอย่างเต็มที่เลย
แต่ว่านอกมรรค
จึงบอกว่านี่ เหล่านี้
เวลาที่มันหมดไปอย่างนี้นี่ เราถึงบอกว่าน่าเสียดาย ...ทำไมถึงเรียกว่าน่าเสียดาย เพราะโอกาสที่จะได้กลับมาเกิดใหม่นี่..มี ทุกคนมี ไม่ต้องกลัวว่าจะไม่ได้เกิด
...เกิดแน่
แต่จะเกิดเมื่อไหร่ หือ ตอบตัวเองได้มั้ย ...ตายแล้วเกิดเลย หรือตายแล้วมาเป็นคนเลยมั้ย หรือจะไปเป็นเทวดาสักพันปี
ไปเป็นพรหมสักหมื่นปี ...ไม่รู้เลย ไม่มีใครรู้นะ
ถึงบอกว่า...ถ้ามาเกิดใหม่นี่ เอ้า
แล้วมาเกิด พอรู้คำพูด ถามคำพูดได้ ถาม...“แม่ นี่ พ.ศ.
อะไร” ...“4990” อย่างนี้ เอ้า มิตายรึกู อายุศาสนามีห้าพัน ดันไปเกิด พ.ศ. 4990
อย่างเนี้ย ทำไงอ่ะ
ทำไงก็ไม่ได้แล้วๆ ถึงตรงนั้นน่ะ ...เราถึงบอกว่า น่าเสียดายนะ เสียดายเวลาในชาติปัจจุบันนี้...ที่มันหมดไปกับอะไรล่ะ หือ ...บอกให้เลย มันหมดไปกับความไม่รู้ตัว..เป็นส่วนใหญ่ เป็นรูทีน เป็นอาจิณ เป็นกิจวัตร
ทั้งๆ ที่ว่า
ท่านให้รักษาศีลเป็นนิจศีล นิจวัตร กิจวัตร กลับปล่อยให้ความไม่รู้ตัวเป็นกิจวัตร ...ถึงบอกว่า น่าเสียดายเวลาที่หมดไป
เตือนตัวเอง
...ใครมาเตือนให้ไม่ได้หรอก เพราะมันจะโกรธ ...แต่ถ้าตัวมันเองเตือนตัวมันเอง
มันไม่โกรธหรอก แต่ถ้าให้คนอื่นมาคอยเตือนนี่ ต้องตามทิศทาง..ถ้าลมดีก็ไม่โกรธ
ถ้าลมไม่ดีอย่ามาเตือนนะ มันจะโกรธ
เพราะนั้นมันพึ่งคนอื่นไม่ได้
ต้องพึ่งตัวเองนั่นแหละ ...เพราะมันเตือนได้ทุกขณะ ถ้าขยัน ถ้าใส่ใจ ถ้าตั้งใจ
ถ้าอยู่กับความตั้งใจ...ตั้งใจในการดำรงชีวิต ตั้งใจที่เจริญมรรค
เพราะนั้น ถ้ามันมีคำว่าตั้งใจ ถ้ารู้จักว่า...เดินก็ตั้งใจเดิน นั่งก็ตั้งใจนั่ง พูดก็ตั้งใจพูด ฟังก็ตั้งใจฟัง
ขยับก็ตั้งใจขยับ เนี่ย ถ้ามันทำทุกอย่างด้วยความตั้งใจ มันจะมีสติอยู่ตรงนั้นด้วย ...เพราะมันตั้งใจ
แต่ทุกอย่างมันทำแบบเลื่อนๆ ลอยๆ ไม่ตั้งอกตั้งใจ
มันทำด้วยความประมาทเผลอเพลิน แล้วก็เคยชิน ...เคยชินยังไง ...คือรู้สึกมันไม่ผิดพลาด
ไม่ตั้งใจทำ มันก็ทำได้
อย่างขับรถมานี่
ไม่ได้ตั้งใจขับมาเลยน่ะ ขับมาโดยสันดาน ขาก็เหยียบไป ยิ่งสมัยนี้เกียร์ออโต้
เหยียบลูกเดียว ไม่ต้องเปลี่ยนครัช ไม่ต้องเปลี่ยนเกียร์ ขับไปใจลอยไปลอยมา..ก็ขับได้
ไม่เห็นถูกชนเลย
มันเป็นความเคยชินนะ
แล้วก็...มันไม่เห็นโทษของความที่จะตกอยู่ภายใต้อำนาจของความประมาทนี่
จึงเรียกว่าขับรถมานี่แบบไม่ตั้งใจขับน่ะ
พอขาดความตั้งใจ
มันก็เกิดความขี้เกียจขี้คร้าน ประมาทมัวเมา ทำทุกอย่างได้ไม่ผิดไม่พลาด
แต่ก็อยู่ด้วยความประมาท …แต่มันหมดเวลานี่สิ
เวลามันไม่หยุดเดิน ...การหมุนของโลก
การหมุน การแปรปรวนของขันธ์ การเสื่อมสลาย การหมดสภาพของขันธ์นี่
มันหมดไปทุกการเผาผลาญของลมหายใจเข้า-ออก
ลมนี่ มันเป็นธาตุที่เข้าไปกระพือไฟ
คือเป็นตัว Metabolism มันจึงเกิดเผาผลาญ ...การเผาผลาญนี่คือทำให้ร่างกายหรือขันธ์นี่ หนึ่งคือเจริญ สองคือเสื่อม ...เจริญเพื่อเสื่อมนะนั่น
เพราะอากาศนี่ เพราะลมหายใจเข้าออกนี่
ไปทำปฏิกิริยา มันไปจุดอ็อกเทนให้ธาตุไฟ คือความเร่าร้อนของอุณหภูมิ นี่คือการเผาผลาญ
แล้วก็คือการสลายธาตุดิน คือสารอาหาร
ทั้งมีประโยชน์ทั้งมีโทษ มันเอาหมดน่ะ
กูเผาลูกเดียว ...บอกแล้วไง กายนี่ไม่มีชีวิตจิตใจนะ มันไม่ใช่ว่าอันนี้มันมีประโยชน์กูเผาผลาญให้
อันนี้ไม่มีประโยชน์กูเอาออกให้ ไม่เผา...ไม่มีอ่ะ มึงมาเหอะ กูเผาลูกเดียว
นี่คือธรรมชาติของความที่ว่าไม่มีชีวิตจิตใจ ...มันก็ทำงานไปตามปกติสันดานของขันธ์ มันก็เผาผลาญหมด ทั้งดีทั้งร้าย
ทั้งเป็นคุณและเป็นโทษ
เห็นมั้ยว่า ดินน้ำไฟลม
มันก็ทำงานของมันอยู่อย่างเงี้ย เผาไป ร้อนไป
เสื่อมไป แก่ไป...หรือที่ว่าหนุ่มขึ้นสาวขึ้น...จริงๆ ก็คือว่าแก่ลงน่ะ แล้วก็ใกล้ตายมากขึ้น
เนี่ย มันใช้ภาษาบิดเบือนไปน่ะ...โดยสมมุติบัญญัติ มันก็เลยว่าคงยังไม่ตายมั้ง ...แต่ที่จริงมันจะตายอยู่แล้ว มันโตขึ้นเพื่อตายน่ะ
คือถ้ามันถูกสอนมาอย่างนี้ว่า เอ้ย ตายนะ เนี่ย มันก็จะได้ไม่ประมาท ...แต่มันบอกว่าโตขึ้นนะ สาวขึ้นสวยขึ้น หนุ่มขึ้นหล่อขึ้น หน้าตาผ่องใสดี ...มันก็มีปีติยินดี...ในการใกล้ตาย
มันเกิดความสุขขึ้นในการใกล้ตายด้วยความไม่รู้ตัวเลย เห็นมั้ย นี่คือสังคมโลก สังคมมนุษย์เขาว่ากัน
ภาษามันก็ปิดบังธรรมไป..ว่าโตขึ้น ว่าหนุ่มขึ้น สาวขึ้น ...ที่จริงมันใกล้ตายขึ้น
แต่พอพูดถึงความตายนี่ บ้านแทบแตก ...หาว่าเป็นคำอัปมงคล พูดทำไม เดี๋ยวตบปาก ต้องเอาสบู่มาล้างปากแล้ว ต้องอย่างนั้น
ต้องไปถอนคำพูด อย่างเงี้ย
(ต่อแทร็ก 10/25)