พระอาจารย์
10/31 (560323F)
(แทร็กชุดต่อเนื่อง)
23 มีนาคม 2556
(ช่วง 2)
(หมายเหตุ : ต่อจากแทร็ก 10/31 ช่วง 1
มีแต่พระพุทธเจ้ากับพระอริยสงฆ์สาวกทั้งหลายนั่นน่ะ
ที่อาศัยศีลสมาธิปัญญาซึ่งท่านเห็นคุณค่า แล้วท่านทำตาม แล้วก็ปฏิบัติตามศีลสมาธิปัญญา
ก็จะเห็นเลยว่า
ทั้งหมดนี่มันเป็นอุปกรณ์เครื่องมือที่จะทำให้จิตนี่มันอยู่ในกรอบที่ควรอยู่ ...เพราะนั้นกรอบที่ควรอยู่...โดยกว้างๆ
คือกรอบปัจจุบัน ...โดยชัดเจนคือกรอบกาย แค่เนี้ย
ซึ่งจะเป็นที่ที่จิตมันไม่ชอบที่สุด
สำหรับผู้เริ่มต้นปฏิบัติ ...เพราะหาความสุขในนี้ไม่ได้ หาความเพลิดเพลินในนี้ไม่ได้
หาความร่ำรวยไม่ได้ หาความสบายใจไม่ได้ตรงนี้
แต่ถ้าออกนอกจากนี้ไป มันรู้สึกอยู่ได้หมดเลย แล้วมันคุ้นเคยอย่างยิ่ง …เพราะนั้น ถ้าโดยลำพังกำลังแข้งของตัวเจ้าของเองนี่ ...ไปไม่ค่อยรอดหรอก
ก็อาศัยลูกอัดลูกถีบของเหล่าผู้คุ้มกฎนี่ คอยแนะ คอยกำราบ คอยสนับสนุน ...มันจึงจะลงร่องได้สักระยะหนึ่งบ้าง ...เรียกว่าพอให้เห็นน้ำเห็นเนื้อ
แล้วเมื่อมันดำเนินไปในร่องในรอย มันก็จะเห็นน้ำเห็นเนื้อขึ้นไปทีละน้อย ...ตรงนี้มันจะเพาะบ่มกำลังหรือว่าอินทรีย์ปลีแข้งของตัวเอง ...ท่านเรียกว่าบ่มอินทรีย์
ซึ่งแต่ละคนอินทรีย์ไม่เท่ากัน
มาก-น้อยแตกต่างกัน ...แต่สร้างขึ้นได้ อบรมขึ้นได้...ด้วยความพากเพียรอดทนเท่านั้น ...นี่เป็นธรรมที่รองรับ...คืออดทน
อดทนต่อรูปที่ปรากฏ
อดทนต่อเสียงที่ปรากฏ อดทนต่อจิตที่คิดไปมา อดทนต่อเรื่องราวที่ได้ยินได้ฟัง
ที่ได้เห็น อดทนต่อความสุขความทุกข์ อดทนต่อความไม่สุขไม่ทุกข์
อดทนต่อความอยากที่จะไปได้สุขและได้ทุกข์
อดทนที่อยากจะเป็นสุขแล้วได้ทุกข์ อดทนที่จะเป็นทุกข์แล้วได้สุข ...มันต้องอดทนทั้งนั้น
มันจึงจะอยู่ที่นี้ได้ด้วยความต่อเนื่อง
ไม่ง่ายเหมือนกันนะ ...แต่เมื่อมันบอกว่า
“ไม่ง่ายเหมือนกัน” นี่...ให้นึกถึงผลสูงสุด ว่ามีค่าเกินกว่า ยิ่งกว่า
ที่มันเคยได้เคยหา หรือที่มันอยากได้และอยากเป็น ...นั่นคือผล
แล้วมันจะเกิดกำลังขึ้นภายใน
อย่างบางคนมาฟัง
เหมือนชาร์จแบต ...เพราะนั้นระหว่างที่ออกไป มันก็มี...บางทีก็ล้น บางทีก็หายไปเลย มีสองอย่าง...ฟังเรานี่ ถ้าไม่ใช่แบตเต็ม ก็แบตพังไปเลย...ก็มี ...ไม่ว่ากัน
เพราะธรรมนี่เป็นสาธารณะ
ไม่ได้จำกัดลิขสิทธิ์ ...ถ้ายังคิดว่ามีธรรมอื่น เข้าใจธรรมอันอื่น...ได้หมด ให้ไปเลือกเอา ขอให้เป็นธรรมแล้วกัน ...เพราะยังไงๆ มันก็หัวเดียวนี่แหละ บอกให้
คือ...เอกายนมรรค หมายความแปลว่า ทางสายเอก เอกคือหนึ่ง หนึ่งคือไม่เป็นสอง ...สุดท้ายต้องเป็นเอก
มรรคเป็นหนึ่งเดียวเท่านั้น ไม่มีคำว่าแตกแยก แตกต่าง แบ่งแยกเป็นอย่างอื่น
แล้วจะเข้าใจเองว่ามันเถียงไม่ได้เลยในคำว่า เอกายนมรรค หรือว่ามรรคาปฏิปทานี้ ...ไม่ว่าจะอย่างไร อุบายไหน สำนักไหน มีรูปแบบวิธีการปฏิบัติอย่างไรก็ตาม
ถ้าจะเข้าสู่ความหลุดพ้นจนไม่กลับมาอีก จะต้องอยู่ในสายของเอกายนมรรคนี้เท่านั้น...เหมือนกัน ...ช้า-เร็ว
อยู่ที่ความเพียรของบุคคลนั้นๆ แล้วก็ตรงต่อศีลสมาธิปัญญามากหรือน้อยกว่ากัน
เพราะนั้น ง่ายๆ ...คือกายยืนเดินนั่งนอนในปัจจุบัน นั่นแหละพอแล้ว ถือว่าตรงที่สุด ...ไม่ต้องคิดซับซ้อนแล้ว
ไม่ต้องไปนั่งแยกนั่งแยะว่าศีลอยู่ไหน สมาธิอยู่ไหน ปัญญาคืออะไรกันวะ
นั่น ไม่เอาๆ ฟุ้งซ่าน...ให้บอกว่านี้คือจิตฟุ้งซ่าน ให้มันเห็นว่าอย่างนี้เรียกว่าจิตฟุ้งซ่าน ...ถ้าจิตฟุ้งซ่านหมายความว่าจิตไม่เป็นหนึ่ง ...และถ้าจิตไม่เป็นหนึ่ง ไม่มีทางเกิดปัญญา
เออ แล้วกูจะเอาไว้ทำไมวะ ...ก็ออกซะ
มาอยู่ตรงนี้ เป็นหนึ่งกับกาย นั่ง..รู้ว่านั่ง เหมือนไม่มีอะไร ไม่รู้อะไรเลย
ไม่มีความรู้อะไรเกิดขึ้นด้วย ...เออ นั่นแหละ ใช่เลย
เนี่ย ไปเรื่อยๆ อย่าท้อ อย่าหนี
อย่าเปลี่ยนวิธีการ ...ต่อให้มันหลง หรือมันลืม หรือมันหาย
หรือว่าจางคลายจากการที่รู้ตัวรู้กายอยู่ก็ตาม เมื่อกลับมาแล้วตั้งใจทำขึ้นมาใหม่
ก็ลงที่เดิม กายอันเดิม แบบเก่า
ทำอย่างนี้ มันจึงจะสะสมอินทรีย์
ที่เป็นไปเพื่อความเดินไปด้วยความมั่นคงในองค์มรรคต่อไป ...แล้วทุกอย่างจะสิ้นและคลายจากความสงสัยไปด้วยตัวของมันเอง
และจากนั้นก็ค่อยๆ ห่างไกลจากเราไปเอง
ไม่ต้องมาเข้าใกล้เราแล้ว อาจจะไปตั้งตัวเป็นเจ้าสำนักเลยก็ได้ ไม่ว่ากัน ...แต่ให้มันตรงต่อธรรมก่อน ไม่ว่า ไม่ว่าเลยนะ
แต่ถ้าไม่ตรง...อย่าบังอาจ ...กรรมนะ
สอนให้คนผิด ทั้งๆ ที่ตัวผิดแล้วไม่รู้ว่าผิด ถือว่าไปสร้างหนทางผิดๆ
แล้วมีคนเชื่อแบบผิดๆ แล้วทำตามแบบผิดๆ แล้วเขาไปติดกับดักเป็นผลสุขทุกข์ผิดๆ ขึ้น ได้รับผลสืบเนื่องกันเลย
เพราะฉะนั้น สอนตัวเอง จนชัด จนแจ้ง
จนทะลุปรุโปร่ง ...นั่นแหละ ทุกคำพูด ทุกการกระทำ มันเป็นเครื่องสอนโลกหมดเลย
แล้วก็สอนสิ่งที่อยู่ในโลกทั้งหมด ทั้งที่มีวิญญาณครอง และไม่มีวิญญาณครอง
อานิสงส์ของศีลสมาธิปัญญานี่
เกินกว่าที่พวกเราคิดเยอะ ...ไม่ใช่แค่เพียงคำพูด หรือที่พูดซ้ำๆ ซากๆ ศีลสมาธิปัญญา
อย่างที่พวกเราเข้าใจ หรือนึกๆ คิดๆ กันขึ้นมาหรอก
ให้มันถึงจริงๆ ...ถึงศีล ภาวนาให้ถึงศีล
ให้ภาวนาให้ถึงใจ ...เมื่อถึงกายถึงใจ จะเห็นเลยว่า นี่แหละที่อันประเสริฐ ...พระพุทธเจ้าบำเพ็ญมาสี่อสงไขยแสนมหากัป
เพื่อมาเห็นกายใจตามความเป็นจริงเท่านี้เอง
เมื่อเห็นแล้ว
หมดสงสัยในคำว่ากายคืออะไร ใจคืออะไร ตัณหาจบ ณ ที่นั้นเลย ...การหมุนวน การวนเวียนของจิต
การไขว่คว้า ขุดค้น แสวงหา ทะยานอยาก การหมายการมั่นในที่ต่างๆ ...จบ หยุดโดยปริยาย
เชื่อมั้ย ...ไม่เชื่อ ทำเอาเอง ...ลองเอา จะได้คุยกันรู้เรื่อง ไม่ใช่มานั่งแต่ฟัง
...เออ แต่ถ้ามันรู้เรื่องแล้วก็พูดไม่ออกเหมือนกัน เพราะไม่มีคำพูด ...เออ
มันก็เหมือนกัน มองตาก็รู้ใจ แน่ะ ประมาณนั้น
แต่อย่างนี้ มองตาแล้วคือ..."งง...’จารย์" มันคิดไปเรื่อยเปื่อยอยู่ นั่น มันยังมองกันไม่ถึงใจ มันไม่เห็นใจตรงใจ หรือว่าใจต่อใจ ...มันยังมีอาสวะบัง หรือว่ามีผักตบชวาจอกแหนคลุมอยู่ มันก็เลยสื่อกันไม่เห็น
มันก็ไม่เห็นเรา เราก็ไม่เห็นมัน
เป็นงั้นไป เห็นแต่ลูกตา พอเห็นอยู่ ขาวๆ ดำๆ พอเห็น นั่น
แต่ไม่เห็นใจตัวเอง ...ให้มันเห็นใจตัวเองก่อน แล้วจะเห็นใจทั้งหมด
เป็นใจเดียวกันยังไง
แต่ตอนนี้มันไม่เห็นใจเดียวกัน ...ถ้าไม่เห็นใจตัวเองมันจะไม่เห็นใจเดียวกันกับสัตว์บุคคลอื่น
มันจึงมีความแตกต่างในรูปลักษณ์ที่ห่อหุ้มใจนั้นอยู่...ด้วยอำนาจของกรรมและวิบาก
มันจึงเกิดการยกระดับแตกต่าง
สูงต่ำดำขาว สวยงามหรือไม่งาม ไม่ดี หรือร้าย หรือถูกหรือผิด ...พวกนี้เป็นเปลือกหมดเลย
แล้วพวกเราเชื่อเปลือก เพราะไม่เห็นถึงแก่น
แต่ต้องเห็นตัวเองก่อน
จึงจะเข้าใจผู้อื่นว่า...เออ same same...เหมือนกัน แบบเดียวกัน เกิดเหมือนกัน เจ็บไข้ได้ป่วยเหมือนกัน
ตายเหมือนกัน ...แต่ไม่เหมือนอยู่อย่างเดียวคือ กูไม่เกิด มันเกิด...ช่างหัวมัน
นี่ ต่าง จะต่าง ...แล้วแต่ว่าเดินในองค์มรรคขนาดไหน ...ตัวนี้เป็นตัวที่ทำได้ แก้ได้ ...นี่ ถึงว่ายาขนานเอก เรียกว่าธรรมโอสถ
โดยอาศัยพุทธธรรม ธรรมคุณ แล้วก็สังฆคุณน่ะ เป็นเครื่องปรุงยา
ผู้ที่ปรุงก็คือศีลสมาธิปัญญาที่ขยำ
เขย่า จนสมดุล กลมกลืน ...แล้วก็กิน...ปรุงเองกินเอง โรคก็หายเอง เป็นปัจจัตตัง
เอ้า พอแล้ว เหนื่อย ...พูดไปพูดมาเหนื่อยอยู่คนเดียวนี่ ไม่เห็นมันเหนื่อยกันเลย นั่งกันสบาย
เหนื่อยอยู่คนเดียว นี่ เออ ...ให้มันได้ผลกันซะบ้าง นะ เอาไปฟัง เอาไปทำกัน
จะยืน จะเดิน จะลุก จะนั่ง ไม่ต้องรีบ
ค่อยๆ ดูอากัปกริยาของตัวเองไป เป็นขณะๆ ไป ...แล้วก็สร้างความคุ้นเคยในการรู้ตัวอยู่อย่างนี้
ให้มันเกิดความยืดยาวต่อเนื่อง นั่นน่ะคือการเจริญหรือการภาวนา
โยม – พระอาจารย์คะ พอดีมีคำถาม คืออยากจะถามว่า
เราจะรู้ได้ยังไงคะว่าเราปฏิบัติมาถูกทางแล้ว
พระอาจารย์ – ให้เป็นโสดาบันก่อนสิ จึงจะหายสงสัย ...เพราะนั้น
ยังไงก็ตามเมื่อใดที่เรายังไม่ถึงขั้นที่จะหมดสิ้นความสงสัยในการปฏิบัติ
มันจะสงสัยอยู่ตลอดอยู่แล้ว เข้าใจมั้ย
มันจะหาถูกหาผิดไม่เจออยู่แล้ว ...มันไม่ผิดปกติหรอก
มันเป็นอย่างนี้ ...แต่พวกเราอย่าไปจริงจังกับความค้นหาอย่างนี้ อย่าไปเชื่อ
อย่าไปหากับมัน หรืออย่าไปสงสัยกับมัน
ก็ให้ละความสงสัย วางความสงสัยนั้นไว้
ว่าถูกหรือเปล่า ไม่ถูกหรือเปล่า แล้วก็ทำลงไปในความหมายของคำว่ากายปัจจุบัน
รู้ปัจจุบัน แค่เนี้ย ... เอาตรงนี้ก่อน
แม้ว่ามันจะทำด้วยความไม่แล้วใจก็ตาม เข้าใจมั้ย ...แล้วมันจะค่อยๆ บังเกิดผลขึ้นไป
จนมันสรุปตัวมันเองได้ว่า ไม่มีอะไรเกินนี้แล้ว...หมายความว่าวิธีการปฏิบัตินะ ...นั่นน่ะ มันจะหมดความสงสัย
แต่ระหว่างที่ทำอยู่นี่
มันจะต้องสู้กับความสงสัย แล้วก็ไม่ตามมัน แล้วก็อย่าไปเปลี่ยน ...เพราะมันสงสัยที
มันก็จะเกิดอุบายอย่างใหม่ขึ้นมาใหม่ แล้วก็จะเปลี่ยนไปลอง ลองผิดลองถูกอยู่ตลอด
นี่แหละ ที่เราจะใช้คำว่าเหลาะแหละ
เรียกว่าโลเล...เหลาะแหละโลเล ...หมายความว่ากระโดดไปกระโดดมา เหมือนลิง เหมือนกบกระโดด
พล้อบแพล้บๆ
มันไม่ได้เป็นชิ้น
ไม่ได้เป็นอันอะไรหรอก ...แม้มันจะรู้ว่านั่งนอนยืนเดินนี่ ไม่เห็นได้อะไรเลยก็ตาม ก็หดๆ
ไม่หา ไม่เปลี่ยน ...เชื่อหัวไอ้เรืองเหอะ แค่นั้นแหละพอ
เอาเหอะ ทำงานทำการไป มือขยับหยิบจับอะไร พวกนี้ดูไป อยู่กับตัวเอง ...หรือเวลาลูกค้าทำอากัปกริยาอะไร เราโกรธมั้ย ให้เห็น ...ไม่ต้องคิดมาก มันเกิดอยู่แล้ว มันต้องมีอยู่แล้ว
ก็ละซะเลย แล้วก็กลับมา เหมือนไม่รู้ไม่ชี้กับมัน ...แล้วก็กลับมารู้ชี้อยู่กับกาย แค่นี้แหละ...แค่นี้แหละชีวิตนี้จะเป็นสุขแล้ว
แม้จะทำการงานอาชีพอะไรก็ไม่เดือดร้อน
แล้วก็เกิดความรู้ความเข้าใจในกายใจปัจจุบันมากขึ้นๆ
ทุกข์ก็น้อยลง ไม่มีอาการขวนขวายว่าจะรวยจะจนอะไร หรือเดือดร้อนเป็นหนี้เป็นสิน ...มีก็ใช้
ไม่มีก็ไม่ใช้
เพราะเดี๋ยวก็ตาย ...เจ้าหนี้ก็ตาย ลูกหนี้ก็ตาย (หัวเราะกัน)
ใครตายก่อนกัน ก็แค่นั้นแหละ ...เจ้าหนี้ตาย..กูสบาย
ถ้ากูตาย..เจ้าหนี้ลำบาก ...เนี่ย ก็อยู่กันไป เข้าใจมั้ย เออ
นี่ ตรงนี้ ตรงตั้งแต่หัวจรดตีนน่ะ บอกให้...กายนี่
เขาแสดงความเป็นจริง...หัวจรดตีน แต่เราไม่อยู่กับความจริงเท่านั้นเอง ...ไอ้ “เรา”
คือจิตนั่นแหละ ความหมายเดียวกัน
เอ้า แล้วค่อยมากันใหม่ มาถูกด่าเป็นระลอกๆ ไป (หัวเราะกัน) มันก็เกิดอาการกระตุ้นเตือนขึ้นมา ...จะผู้ใหม่ผู้เก่าเหมือนกันหมดน่ะ ถูกด่าเท่ากัน ...ด่ากิเลส ด่าจิต ให้มันอยู่ในกรอบ
อย่าให้มันแตกกรอบ ไม่สำรวม ...ไม่สำรวมจิตมันก็ไม่เกิดปัญญา
เพราะมันจะต้องสำรวม ...แล้วก็เมื่อสำรวม ก็เหมือนกับน้ำที่มันอยู่ในเส้นสายยางนี่
แล้วก็ฉีดในที่เดียว เข้าใจมั้ยว่ามีความแรง
เมื่อใดที่สำรวมจิต
มันก็รวบรวมน้ำร้อยสายนี่ให้มันมารวมเป็นสายเดียวเส้นเดียวนี่ ...มันมีกำลังมั้ยล่ะ
นั่นน่ะเขาเรียกว่าการสำรวมเพื่อให้เกิดปัญญา
แล้วมันจะมีพลังของสมาธิที่ทำให้รู้ชัดเห็นชัดในอาการความเป็นจริงของกาย
โดยที่ไม่ต้องค้นหาเลย โดยที่ไม่ต้องพิจารณาคิดหาด้วยภาษาคำพูดเลย ...นี่ล่ะคือผลานิสงส์ หรืออานิสงส์ของสมาธิ
เพราะนั้นสำคัญคือว่าต้องรวมจิตให้เป็นหนึ่ง
แล้วเห็นคุณค่าของมัน ด้วยการสำรวมจิตบ่อยๆ โดยเอากายนี่เป็นกรอบ นะ
.......................................