วันศุกร์ที่ 22 กรกฎาคม พ.ศ. 2559

แทร็ก 10/31 (2)



พระอาจารย์
10/31 (560323F)
(แทร็กชุดต่อเนื่อง)
23 มีนาคม 2556
(ช่วง 2)


(หมายเหตุ  :  ต่อจากแทร็ก 10/31  ช่วง 1

พระอาจารย์ –  เพราะธรรมดาสันดานของจิตแล้วนี่ มันไม่รู้หรอกว่าที่ที่มันควรอยู่จริงๆ น่ะตรงไหน ...มันจะสร้างที่อยู่ที่อาศัยของมันอยู่เรื่อย ที่เป็นอะไรก็ตามที่นอกเหนือกายใจหรือนอกเหนือปัจจุบันนี้

มีแต่พระพุทธเจ้ากับพระอริยสงฆ์สาวกทั้งหลายนั่นน่ะ ที่อาศัยศีลสมาธิปัญญาซึ่งท่านเห็นคุณค่า แล้วท่านทำตาม แล้วก็ปฏิบัติตามศีลสมาธิปัญญา

ก็จะเห็นเลยว่า ทั้งหมดนี่มันเป็นอุปกรณ์เครื่องมือที่จะทำให้จิตนี่มันอยู่ในกรอบที่ควรอยู่ ...เพราะนั้นกรอบที่ควรอยู่...โดยกว้างๆ คือกรอบปัจจุบัน ...โดยชัดเจนคือกรอบกาย แค่เนี้ย

ซึ่งจะเป็นที่ที่จิตมันไม่ชอบที่สุด สำหรับผู้เริ่มต้นปฏิบัติ ...เพราะหาความสุขในนี้ไม่ได้ หาความเพลิดเพลินในนี้ไม่ได้ หาความร่ำรวยไม่ได้ หาความสบายใจไม่ได้ตรงนี้

แต่ถ้าออกนอกจากนี้ไป มันรู้สึกอยู่ได้หมดเลย แล้วมันคุ้นเคยอย่างยิ่งเพราะนั้น ถ้าโดยลำพังกำลังแข้งของตัวเจ้าของเองนี่ ...ไปไม่ค่อยรอดหรอก

ก็อาศัยลูกอัดลูกถีบของเหล่าผู้คุ้มกฎนี่ คอยแนะ คอยกำราบ คอยสนับสนุน ...มันจึงจะลงร่องได้สักระยะหนึ่งบ้าง ...เรียกว่าพอให้เห็นน้ำเห็นเนื้อ 

แล้วเมื่อมันดำเนินไปในร่องในรอย มันก็จะเห็นน้ำเห็นเนื้อขึ้นไปทีละน้อย ...ตรงนี้มันจะเพาะบ่มกำลังหรือว่าอินทรีย์ปลีแข้งของตัวเอง ...ท่านเรียกว่าบ่มอินทรีย์

ซึ่งแต่ละคนอินทรีย์ไม่เท่ากัน มาก-น้อยแตกต่างกัน ...แต่สร้างขึ้นได้ อบรมขึ้นได้...ด้วยความพากเพียรอดทนเท่านั้น ...นี่เป็นธรรมที่รองรับ...คืออดทน 

อดทนต่อรูปที่ปรากฏ อดทนต่อเสียงที่ปรากฏ อดทนต่อจิตที่คิดไปมา อดทนต่อเรื่องราวที่ได้ยินได้ฟัง ที่ได้เห็น อดทนต่อความสุขความทุกข์ อดทนต่อความไม่สุขไม่ทุกข์

อดทนต่อความอยากที่จะไปได้สุขและได้ทุกข์ อดทนที่อยากจะเป็นสุขแล้วได้ทุกข์ อดทนที่จะเป็นทุกข์แล้วได้สุข ...มันต้องอดทนทั้งนั้น มันจึงจะอยู่ที่นี้ได้ด้วยความต่อเนื่อง

ไม่ง่ายเหมือนกันนะ ...แต่เมื่อมันบอกว่า “ไม่ง่ายเหมือนกัน” นี่...ให้นึกถึงผลสูงสุด ว่ามีค่าเกินกว่า ยิ่งกว่า ที่มันเคยได้เคยหา หรือที่มันอยากได้และอยากเป็น ...นั่นคือผล แล้วมันจะเกิดกำลังขึ้นภายใน

อย่างบางคนมาฟัง เหมือนชาร์จแบต ...เพราะนั้นระหว่างที่ออกไป มันก็มี...บางทีก็ล้น บางทีก็หายไปเลย มีสองอย่าง...ฟังเรานี่  ถ้าไม่ใช่แบตเต็ม ก็แบตพังไปเลย...ก็มี ...ไม่ว่ากัน 

เพราะธรรมนี่เป็นสาธารณะ ไม่ได้จำกัดลิขสิทธิ์ ...ถ้ายังคิดว่ามีธรรมอื่น เข้าใจธรรมอันอื่น...ได้หมด ให้ไปเลือกเอา ขอให้เป็นธรรมแล้วกัน ...เพราะยังไงๆ มันก็หัวเดียวนี่แหละ บอกให้

คือ...เอกายนมรรค หมายความแปลว่า ทางสายเอก  เอกคือหนึ่ง หนึ่งคือไม่เป็นสอง ...สุดท้ายต้องเป็นเอก มรรคเป็นหนึ่งเดียวเท่านั้น ไม่มีคำว่าแตกแยก แตกต่าง แบ่งแยกเป็นอย่างอื่น

แล้วจะเข้าใจเองว่ามันเถียงไม่ได้เลยในคำว่า เอกายนมรรค หรือว่ามรรคาปฏิปทานี้ ...ไม่ว่าจะอย่างไร อุบายไหน สำนักไหน มีรูปแบบวิธีการปฏิบัติอย่างไรก็ตาม 

ถ้าจะเข้าสู่ความหลุดพ้นจนไม่กลับมาอีก จะต้องอยู่ในสายของเอกายนมรรคนี้เท่านั้น...เหมือนกัน ...ช้า-เร็ว อยู่ที่ความเพียรของบุคคลนั้นๆ แล้วก็ตรงต่อศีลสมาธิปัญญามากหรือน้อยกว่ากัน

เพราะนั้น ง่ายๆ ...คือกายยืนเดินนั่งนอนในปัจจุบัน นั่นแหละพอแล้ว ถือว่าตรงที่สุด ...ไม่ต้องคิดซับซ้อนแล้ว ไม่ต้องไปนั่งแยกนั่งแยะว่าศีลอยู่ไหน สมาธิอยู่ไหน ปัญญาคืออะไรกันวะ

นั่น ไม่เอาๆ ฟุ้งซ่าน...ให้บอกว่านี้คือจิตฟุ้งซ่าน ให้มันเห็นว่าอย่างนี้เรียกว่าจิตฟุ้งซ่าน ...ถ้าจิตฟุ้งซ่านหมายความว่าจิตไม่เป็นหนึ่ง ...และถ้าจิตไม่เป็นหนึ่ง ไม่มีทางเกิดปัญญา 

เออ แล้วกูจะเอาไว้ทำไมวะ ...ก็ออกซะ มาอยู่ตรงนี้ เป็นหนึ่งกับกาย นั่ง..รู้ว่านั่ง เหมือนไม่มีอะไร ไม่รู้อะไรเลย ไม่มีความรู้อะไรเกิดขึ้นด้วย ...เออ นั่นแหละ ใช่เลย

เนี่ย ไปเรื่อยๆ อย่าท้อ อย่าหนี อย่าเปลี่ยนวิธีการ ...ต่อให้มันหลง หรือมันลืม หรือมันหาย หรือว่าจางคลายจากการที่รู้ตัวรู้กายอยู่ก็ตาม เมื่อกลับมาแล้วตั้งใจทำขึ้นมาใหม่ ก็ลงที่เดิม กายอันเดิม แบบเก่า

ทำอย่างนี้ มันจึงจะสะสมอินทรีย์ ที่เป็นไปเพื่อความเดินไปด้วยความมั่นคงในองค์มรรคต่อไป ...แล้วทุกอย่างจะสิ้นและคลายจากความสงสัยไปด้วยตัวของมันเอง

และจากนั้นก็ค่อยๆ ห่างไกลจากเราไปเอง ไม่ต้องมาเข้าใกล้เราแล้ว อาจจะไปตั้งตัวเป็นเจ้าสำนักเลยก็ได้ ไม่ว่ากัน ...แต่ให้มันตรงต่อธรรมก่อน ไม่ว่า ไม่ว่าเลยนะ

แต่ถ้าไม่ตรง...อย่าบังอาจ ...กรรมนะ สอนให้คนผิด ทั้งๆ ที่ตัวผิดแล้วไม่รู้ว่าผิด  ถือว่าไปสร้างหนทางผิดๆ แล้วมีคนเชื่อแบบผิดๆ แล้วทำตามแบบผิดๆ แล้วเขาไปติดกับดักเป็นผลสุขทุกข์ผิดๆ ขึ้น ได้รับผลสืบเนื่องกันเลย

เพราะฉะนั้น สอนตัวเอง จนชัด จนแจ้ง จนทะลุปรุโปร่ง ...นั่นแหละ ทุกคำพูด ทุกการกระทำ มันเป็นเครื่องสอนโลกหมดเลย แล้วก็สอนสิ่งที่อยู่ในโลกทั้งหมด ทั้งที่มีวิญญาณครอง และไม่มีวิญญาณครอง

อานิสงส์ของศีลสมาธิปัญญานี่ เกินกว่าที่พวกเราคิดเยอะ ...ไม่ใช่แค่เพียงคำพูด หรือที่พูดซ้ำๆ ซากๆ ศีลสมาธิปัญญา อย่างที่พวกเราเข้าใจ หรือนึกๆ คิดๆ กันขึ้นมาหรอก

ให้มันถึงจริงๆ ...ถึงศีล ภาวนาให้ถึงศีล ให้ภาวนาให้ถึงใจ ...เมื่อถึงกายถึงใจ จะเห็นเลยว่า นี่แหละที่อันประเสริฐ ...พระพุทธเจ้าบำเพ็ญมาสี่อสงไขยแสนมหากัป เพื่อมาเห็นกายใจตามความเป็นจริงเท่านี้เอง 

เมื่อเห็นแล้ว หมดสงสัยในคำว่ากายคืออะไร ใจคืออะไร ตัณหาจบ ณ ที่นั้นเลย ...การหมุนวน การวนเวียนของจิต การไขว่คว้า ขุดค้น แสวงหา ทะยานอยาก การหมายการมั่นในที่ต่างๆ ...จบ หยุดโดยปริยาย

เชื่อมั้ย ...ไม่เชื่อ ทำเอาเอง ...ลองเอา จะได้คุยกันรู้เรื่อง ไม่ใช่มานั่งแต่ฟัง ...เออ แต่ถ้ามันรู้เรื่องแล้วก็พูดไม่ออกเหมือนกัน เพราะไม่มีคำพูด ...เออ มันก็เหมือนกัน มองตาก็รู้ใจ แน่ะ ประมาณนั้น

แต่อย่างนี้ มองตาแล้วคือ..."งง...จารย์"  มันคิดไปเรื่อยเปื่อยอยู่ นั่น มันยังมองกันไม่ถึงใจ มันไม่เห็นใจตรงใจ หรือว่าใจต่อใจ ...มันยังมีอาสวะบัง หรือว่ามีผักตบชวาจอกแหนคลุมอยู่ มันก็เลยสื่อกันไม่เห็น

มันก็ไม่เห็นเรา เราก็ไม่เห็นมัน เป็นงั้นไป เห็นแต่ลูกตา พอเห็นอยู่ ขาวๆ ดำๆ พอเห็น นั่น แต่ไม่เห็นใจตัวเอง ...ให้มันเห็นใจตัวเองก่อน แล้วจะเห็นใจทั้งหมด เป็นใจเดียวกันยังไง

แต่ตอนนี้มันไม่เห็นใจเดียวกัน ...ถ้าไม่เห็นใจตัวเองมันจะไม่เห็นใจเดียวกันกับสัตว์บุคคลอื่น มันจึงมีความแตกต่างในรูปลักษณ์ที่ห่อหุ้มใจนั้นอยู่...ด้วยอำนาจของกรรมและวิบาก

มันจึงเกิดการยกระดับแตกต่าง สูงต่ำดำขาว สวยงามหรือไม่งาม ไม่ดี หรือร้าย หรือถูกหรือผิด ...พวกนี้เป็นเปลือกหมดเลย แล้วพวกเราเชื่อเปลือก เพราะไม่เห็นถึงแก่น

แต่ต้องเห็นตัวเองก่อน จึงจะเข้าใจผู้อื่นว่า...เออ same same...เหมือนกัน แบบเดียวกัน เกิดเหมือนกัน เจ็บไข้ได้ป่วยเหมือนกัน ตายเหมือนกัน ...แต่ไม่เหมือนอยู่อย่างเดียวคือ กูไม่เกิด มันเกิด...ช่างหัวมัน

นี่ ต่าง จะต่าง ...แล้วแต่ว่าเดินในองค์มรรคขนาดไหน ...ตัวนี้เป็นตัวที่ทำได้ แก้ได้ ...นี่ ถึงว่ายาขนานเอก เรียกว่าธรรมโอสถ โดยอาศัยพุทธธรรม ธรรมคุณ แล้วก็สังฆคุณน่ะ เป็นเครื่องปรุงยา 

ผู้ที่ปรุงก็คือศีลสมาธิปัญญาที่ขยำ เขย่า จนสมดุล กลมกลืน ...แล้วก็กิน...ปรุงเองกินเอง โรคก็หายเอง เป็นปัจจัตตัง

เอ้า พอแล้ว เหนื่อย ...พูดไปพูดมาเหนื่อยอยู่คนเดียวนี่ ไม่เห็นมันเหนื่อยกันเลย นั่งกันสบาย เหนื่อยอยู่คนเดียว นี่ เออ ...ให้มันได้ผลกันซะบ้าง นะ เอาไปฟัง เอาไปทำกัน

จะยืน จะเดิน จะลุก จะนั่ง ไม่ต้องรีบ ค่อยๆ ดูอากัปกริยาของตัวเองไป เป็นขณะๆ ไป ...แล้วก็สร้างความคุ้นเคยในการรู้ตัวอยู่อย่างนี้ ให้มันเกิดความยืดยาวต่อเนื่อง นั่นน่ะคือการเจริญหรือการภาวนา


โยม –  พระอาจารย์คะ พอดีมีคำถาม คืออยากจะถามว่า เราจะรู้ได้ยังไงคะว่าเราปฏิบัติมาถูกทางแล้ว

พระอาจารย์ –  ให้เป็นโสดาบันก่อนสิ จึงจะหายสงสัย ...เพราะนั้น ยังไงก็ตามเมื่อใดที่เรายังไม่ถึงขั้นที่จะหมดสิ้นความสงสัยในการปฏิบัติ มันจะสงสัยอยู่ตลอดอยู่แล้ว เข้าใจมั้ย

มันจะหาถูกหาผิดไม่เจออยู่แล้ว ...มันไม่ผิดปกติหรอก มันเป็นอย่างนี้ ...แต่พวกเราอย่าไปจริงจังกับความค้นหาอย่างนี้ อย่าไปเชื่อ อย่าไปหากับมัน หรืออย่าไปสงสัยกับมัน

ก็ให้ละความสงสัย วางความสงสัยนั้นไว้ ว่าถูกหรือเปล่า ไม่ถูกหรือเปล่า  แล้วก็ทำลงไปในความหมายของคำว่ากายปัจจุบัน รู้ปัจจุบัน แค่เนี้ย ...เอาตรงนี้ก่อน

แม้ว่ามันจะทำด้วยความไม่แล้วใจก็ตาม เข้าใจมั้ย ...แล้วมันจะค่อยๆ บังเกิดผลขึ้นไป จนมันสรุปตัวมันเองได้ว่า ไม่มีอะไรเกินนี้แล้ว...หมายความว่าวิธีการปฏิบัตินะ ...นั่นน่ะ มันจะหมดความสงสัย

แต่ระหว่างที่ทำอยู่นี่ มันจะต้องสู้กับความสงสัย แล้วก็ไม่ตามมัน แล้วก็อย่าไปเปลี่ยน ...เพราะมันสงสัยที มันก็จะเกิดอุบายอย่างใหม่ขึ้นมาใหม่ แล้วก็จะเปลี่ยนไปลอง ลองผิดลองถูกอยู่ตลอด

นี่แหละ ที่เราจะใช้คำว่าเหลาะแหละ เรียกว่าโลเล...เหลาะแหละโลเล ...หมายความว่ากระโดดไปกระโดดมา เหมือนลิง เหมือนกบกระโดด พล้อบแพล้บๆ

มันไม่ได้เป็นชิ้น ไม่ได้เป็นอันอะไรหรอก ...แม้มันจะรู้ว่านั่งนอนยืนเดินนี่ ไม่เห็นได้อะไรเลยก็ตาม ก็หดๆ ไม่หา ไม่เปลี่ยน ...เชื่อหัวไอ้เรืองเหอะ แค่นั้นแหละพอ

เอาเหอะ ทำงานทำการไป มือขยับหยิบจับอะไร พวกนี้ดูไป อยู่กับตัวเอง ...หรือเวลาลูกค้าทำอากัปกริยาอะไร เราโกรธมั้ย ให้เห็น ...ไม่ต้องคิดมาก มันเกิดอยู่แล้ว มันต้องมีอยู่แล้ว

ก็ละซะเลย แล้วก็กลับมา เหมือนไม่รู้ไม่ชี้กับมัน ...แล้วก็กลับมารู้ชี้อยู่กับกาย แค่นี้แหละ...แค่นี้แหละชีวิตนี้จะเป็นสุขแล้ว แม้จะทำการงานอาชีพอะไรก็ไม่เดือดร้อน

แล้วก็เกิดความรู้ความเข้าใจในกายใจปัจจุบันมากขึ้นๆ ทุกข์ก็น้อยลง ไม่มีอาการขวนขวายว่าจะรวยจะจนอะไร หรือเดือดร้อนเป็นหนี้เป็นสิน ...มีก็ใช้ ไม่มีก็ไม่ใช้ 

เพราะเดี๋ยวก็ตาย ...เจ้าหนี้ก็ตาย ลูกหนี้ก็ตาย (หัวเราะกัน) ใครตายก่อนกัน ก็แค่นั้นแหละ ...เจ้าหนี้ตาย..กูสบาย  ถ้ากูตาย..เจ้าหนี้ลำบาก ...เนี่ย ก็อยู่กันไป เข้าใจมั้ย เออ

นี่ ตรงนี้ ตรงตั้งแต่หัวจรดตีนน่ะ บอกให้...กายนี่ เขาแสดงความเป็นจริง...หัวจรดตีน แต่เราไม่อยู่กับความจริงเท่านั้นเอง ...ไอ้ “เรา” คือจิตนั่นแหละ ความหมายเดียวกัน

เอ้า แล้วค่อยมากันใหม่ มาถูกด่าเป็นระลอกๆ ไป (หัวเราะกัน) มันก็เกิดอาการกระตุ้นเตือนขึ้นมา ...จะผู้ใหม่ผู้เก่าเหมือนกันหมดน่ะ ถูกด่าเท่ากัน ...ด่ากิเลส ด่าจิต ให้มันอยู่ในกรอบ 

ย่าให้มันแตกกรอบ ไม่สำรวม ...ไม่สำรวมจิตมันก็ไม่เกิดปัญญา เพราะมันจะต้องสำรวม ...แล้วก็เมื่อสำรวม ก็เหมือนกับน้ำที่มันอยู่ในเส้นสายยางนี่ แล้วก็ฉีดในที่เดียว เข้าใจมั้ยว่ามีความแรง

เมื่อใดที่สำรวมจิต มันก็รวบรวมน้ำร้อยสายนี่ให้มันมารวมเป็นสายเดียวเส้นเดียวนี่ ...มันมีกำลังมั้ยล่ะ นั่นน่ะเขาเรียกว่าการสำรวมเพื่อให้เกิดปัญญา

แล้วมันจะมีพลังของสมาธิที่ทำให้รู้ชัดเห็นชัดในอาการความเป็นจริงของกาย โดยที่ไม่ต้องค้นหาเลย โดยที่ไม่ต้องพิจารณาคิดหาด้วยภาษาคำพูดเลย ...นี่ล่ะคือผลานิสงส์ หรืออานิสงส์ของสมาธิ

เพราะนั้นสำคัญคือว่าต้องรวมจิตให้เป็นหนึ่ง แล้วเห็นคุณค่าของมัน ด้วยการสำรวมจิตบ่อยๆ โดยเอากายนี่เป็นกรอบ นะ


.......................................




วันพฤหัสบดีที่ 21 กรกฎาคม พ.ศ. 2559

แทร็ก 10/31 (1)


พระอาจารย์
10/31 (560323F)
(แทร็กชุดต่อเนื่อง)
23 มีนาคม 2556
(ช่วง 1)


(หมายเหตุ  :  แทร็กนี้แบ่งการโพสต์เป็น  2  ช่วงบทความ)

พระอาจารย์ –  อย่างเวลาพวกเราอ่านข่าว ก็เมามันอยู่กับเรื่องราวที่มันอยู่ในซีกไหนของโลกไม่รู้ ...แต่ในที่นั้นเวลานั้นน่ะ ไม่มีตัวนี้ที่นั่งอ่านหนังสือพิมพ์เลยน่ะ ...เนี่ย โง่ซะสิ้นดี 

แต่ไปฉลาดกับเรื่องราวในหนังสือพิมพ์ที่ไม่รู้มันเกิดจริงหรือเปล่า หรือมันเต้าเรื่อง หรือมันมั่ว หรือว่ามันเขียนไปเองเป็นตุเป็นตะ ...แล้วก็โกรธซะเป็นวรรคเป็นเวร หรือหัวเราะซะแทบตกเก้าอี้น่ะ 

แต่ในขณะที่มันเป็นอย่างนั้นนะ ไม่มีตัวนี้นั่งอยู่น่ะ นี่ เสียเวลาปรุงยาไปซะงั้น ...ก็กลับมาปรุงยา ปรุงธรรมโอสถอยู่ในปัจจุบันเลย ปรุงยาเข้าไป 

แล้วไม่ต้องไปให้คนอื่นเขากิน ปรุงแล้วกินเอง กินใครกินมัน ไม่ต้องเอื้อเฟื้อ ไม่ต้องจิตอาสา ทำคนเดียวกินคนเดียวนั่นแหละ แล้วก็เห็นผลอยู่คนเดียวนั่นแหละ ว่า...อ้อ ยาของพระพุทธเจ้าดีจริงเลย

ปัญญานี่...เมื่อใดที่เห็นกายนี้ตามความเป็นจริง เมื่อใดที่เห็นปัจจุบันตามความเป็นจริงคืออะไรแล้ว โอ้ ความเศร้าโศกาอาดูร ความอาลัยอาวรณ์ ความอึดอัดคับข้อง ...มันลดน้อยถอยลง

ความเร่าร้อนทุรนทุราย ความห่วงหาอาลัย ความไม่รู้จักอิ่มไม่รู้จักพอ ความไม่รู้จักว่ามีแต่อดๆ อยากๆ ภายใน ...มันคลายหมด มันอ่อนลง มันน้อยลง

แล้วยิ่งปรุงไปเรื่อยๆ กินยาเอง ปรุงเอง กินเอง ปรุงเอง กินเอง ไปเรื่อยๆ  มันยิ่งน้อยลงไป จนถึงขั้นที่เรียกว่า แทบจะหมดสิ้นไป ...จนถึงว่าพอเจอยาเม็ดสุดท้ายนี่...จบกันเลย

ไม่รู้ว่าจบแบบ Happy ending หรือ Tragidy ending น่ะ ...แต่จบเลย  The end คือ end เลย ...จบแห่งการเกิดและการตายเลย ไม่ต้องมารักษาโรคนี้อีกต่อไป ทั้งโรคภายนอก และก็โรคภายใน

จึงบอกว่าการเกิดมาเป็นมนุษย์นี่ ถือว่าได้เครื่องมือที่เลิศประเสริฐ  มนุสสปฏิลาโภ พระพุทธเจ้าท่านกล่าวไว้ การเกิดมาเป็นมนุษย์ถือว่าเป็นลาภ เป็นโชค หรือว่าเป็นเหตุอันประเสริฐสุดแล้ว

แต่พวกเรายังไม่รู้จักความประเสริฐของกายนี้ พวกเรายังไม่รู้จักตักตวงความรู้ความเห็น ไม่ตักตวงสติ ไม่ตักตวงปัญญากับกายนี้ให้เต็มเม็ดเต็มหน่วย

นี่ ไม่ตักตวงธรรม ความรู้ความเห็นในธรรม...จากปัจจุบันกาย ปัจจุบันธาตุ ...กลับอยู่กับมันแบบทิ้งขว้าง ละเลย ก้าวข้าม ล่วงเกิน ไม่ดูดาย ไม่แยบคาย ไม่ถี่ถ้วน  อยู่กับมันแบบพลั้งๆ เผลอๆ หลงๆ ลืมๆ

แต่ไปใส่ใจจริงใจจริงจังกับอะไรก็ไม่รู้ ที่มันนอกจากกายนี้ไป เช่น กายคนอื่นบ้าง กายคนรักบ้าง กายพ่อกายแม่บ้าง กายคนร่วมงาน กายคนที่เกลียดบ้าง

ทำไมจริงจังกันเหลือเกิน โดยมีข้ออ้างข้อแม้ต่างๆ นานา...ที่มาคอยซัพพอร์ทพยุงให้จะต้องไปคลุกเคล้าอยู่แบบถอนตัวไม่ออก และไม่ยอมถอนตัวออก

ทางไปนิพพานน่ะไม่ชอบเดิน ชอบไปทางเดินลงนรก จิตน่ะ ...นรกในความหมายของเราคือความเร่าร้อนนะ ไม่ใช่นรกที่ไปอยู่ในกระทะทองแดง หรือไปปีนต้นงิ้ว

ไอ้นั่นนิยายปรัมปรา ไม่พูดถึง ไม่เคยเห็น ไม่รู้ไม่สน ...เรารู้ว่านรกในความหมายที่เราพูดถึง...คือความเร่าร้อนที่เกิดจากความปรุงแต่งของจิต

เพราะฉะนั้น นรกมันเกิดตลอดเวลาเลย...แทบจะตลอดเวลาเลย โดยที่ไม่ต้องเห็น ไม่ต้องได้ยินอะไรภายนอก มันยังสร้างนรกขึ้นภายในได้เลย ใช่มั้ย

ทั้งๆ ที่เรื่องมันดับไปตั้งแต่สิบปีที่แล้ว เอ้า นึกขึ้นมาน้ำตาไหลริน นึกขึ้นมายิ้มแก้มแทบแตก บ้าอยู่คนเดียวยังได้เลย ...นั่นแหละคือหม้อนรกที่เกิดขึ้น โดยที่ไม่มีใครสร้างนะ จะไปโทษใคร

เอ้า ถ้าสมมุตินึกถึงคนที่มันตายไปแล้ว จะไปโทษมันได้ไหม หือ หรือสมมุติว่าคนที่เคยรัก แต่งงานกันมา อยู่กินกันมาตั้งห้าปีสิบปีแล้วมันตายจาก นึกทีไรก็ร้องไห้ แปลว่ามันน่ะผิดหรือนี่

หรือใครผิดกันแน่ ใครสร้างทุกข์นี้ขึ้นมากันแน่ ...อะไรเป็นบ่อหม้อนรกที่เกิดขึ้น ...เขาเป็นหม้อนรก หรือว่าจิตของเราที่ไปผูก ไปหมาย ไปจริงจัง

ถ้าเจอยาพระพุทธเจ้านี่..เสร็จ ...ไอ้จิตเหล่านี้ อาการเหล่านี้ ไม่ได้เกิดหรอก ไม่ได้ผุดไม่ได้เกิด ...แต่มันไม่ได้ยา มันเลยเกิดแบบนับไม่ถ้วนตามไม่ทันเลย นี่ เกิดอะไร ...ก็เกิดหม้อนรกไง 

ขนาดยังไม่เกิด ไม่มีที่ให้เกิด มันยังหาเลย ใช่ไหม ...อยู่ดีๆ นั่งเฉยๆ คนเดียว ไม่มีความคิด...ก็หาเรื่องคิด  ไม่รู้ข่าวสารบ้านเมือง หรือข่าวคราวว่าใครไปยังไงมายังไง...ก็โทรไปหาเรื่องว่าเขาเป็นยังไง

คนนั้น คนโน้น คนนู้น มันเป็นยังไง มันแต่งงานกันรึยัง มันหย่ากันรึยัง หรือมันทะเลาะกันมั้ย  มันแต่งงานแล้วมันทำงานแล้วมันเงินเดือนดีมั้ย มันรวยมั้ย หรือมันจนกว่ากูมั้ย

นี่ อยู่ดีๆ ไม่มีเรื่องราวอะไร มันก็หาเรื่องขึ้นมาซะอย่างงั้น  อยู่ดีๆ ก็สร้างนรกขึ้นมาตลอด ...เพราะไม่เดินอยู่ในเส้นทางของมรรค...คือกายใจปัจจุบัน

เพราะนั้นว่าสิ่งที่เราจะแนะนำสำหรับผู้ที่มาได้ยินได้ฟังใหม่ๆ เหล่านี้...ว่าการปฏิบัติเบื้องต้น แล้วก็ท่ามกลาง หรือว่าตอนกลาง จนค่อนไปถึงที่สุด ...ยังไงก็ตามดู ตามรู้ ตามเห็น...กายนี้ 

เฝ้ารู้ เฝ้าดู เฝ้าเห็นอยู่ในกาย หรืออิริยาบถปัจจุบัน เรียกว่าความรู้ตัว... รู้ตัว...แล้วก็รู้ว่ามีตัวนี้อยู่ยังไง ให้มันตรงกับเดี๋ยวนี้ ปัจจุบันนี้ของกายเป็นยังไง

อย่างขยับนี่ ก็รู้ว่าขยับ แล้วก็ให้รู้สึกถึงการขยับจริงๆ ...ไม่ใช่ขยับแล้วถึงจะ...เออ เมื่อกี้เพิ่งขยับ ...นี่ ไม่ตรง ไม่พอดี ไม่เป็นปัจจุบันซึ่งกันและกัน ...ฝึกอยู่แค่นี้ เล็กๆ น้อยๆ นิดๆ หน่อยๆ ก็เอา 

ไม่มีอะไรจะทำ ไม่มีอะไรจะดู อย่าปล่อยให้ว่าง เดี๋ยวมันจะสร้างหม้อนรก...จิตน่ะ พอไม่มีงานทำ เดี๋ยวมันหาเรื่อง ...ชอบมีเรื่อง ชอบเป็นเรื่อง แล้วก็ชอบอยู่กับเรื่อง

เพราะนั้นจะต้องให้มันมีงานทำ ซึ่งงานที่มันทำน่ะไม่ใช่งานสร้างหม้อนรก ...แต่เป็นงานในองค์มรรค คืองานรู้ตัว คือให้มันมาทำงานรู้กาย ให้มันมาทำงานเห็นกายในปัจจุบัน

ต้องให้มันทำงาน ...ถ้ามันไม่ทำงานนะ เดี๋ยวมันหาเรื่องแล้ว มันสร้างเรื่องขึ้นมาแล้ว มันจะสร้างรูปคนนั้น รูปคนนี้  สร้างเสียงคนนั้น สร้างเสียงคนนี้ เป็นเรื่องเป็นราว

หรือไม่อย่างนั้น มันก็สร้างรูปของตัวเอง ข้างหน้า...ข้างหลัง  สร้างเรื่องราว เหตุการณ์  สร้างความน่าจะเป็น ความไม่น่าจะเป็น ...แล้วก็เดือดเนื้อร้อนใจขึ้นมา

นี่ ก็ต้องหางานให้มันทำซะ แต่เป็นงานในมรรค ...คืองานรู้กาย คืองานเห็นกาย...ตามความเป็นจริงที่ปรากฏอยู่ ณ ปัจจุบันนั้นๆ …นี่ ให้เริ่มต้นที่จุดนี้

แล้วก็ทำอยู่อย่างนี้ โดยลักษณะที่ว่า...ไม่เลือกกาลเวลา สถานที่  ไม่อ้างกาลเวลาสถานที่ ไม่ผัดวันประกันพรุ่ง ไม่รั้งไม่รอ ว่าอายุเท่านั้นก่อนค่อยเอาจริง ให้มันตั้งเนื้อตั้งตัวมีเงินสะสมเพียงพอก่อน

หรือต้องออกจากงาน ต้องกลับถึงบ้านก่อน ต้องให้หยุดขับรถ หยุดนั่งในรถ หยุดการพูดการคุยกับผู้คนก่อน ...ไม่ต้องรอ ตรงไหน ตรงนั้น สติเกิดตรงไหน รู้ตรงนั้น เพราะกายไม่เคยหนีไปไหนเลย

ความเป็นกายในความหมายที่เราพูดคือความรู้สึก หรือว่าความปรากฏ...ไม่ว่าจะเป็นรูปกาย ยืนเดินนั่งนอน  ไม่ว่าจะเป็นความรู้สึกในกาย เย็นร้อนอ่อนแข็ง ไหวนิ่งติงขยับ

พวกนี้เราเรียกว่ากายหมด และมันมีอยู่แล้ว ไม่ต้องไปค้น ไม่ต้องไปสร้างขึ้นมาใหม่ ...มันมี มันปรากฏอยู่โดยธรรมชาติ เป็นปกติของเขาอยู่แล้ว

การภาวนา ให้เริ่มต้นอย่างนี้ ...แล้วระหว่างที่ทำไปอย่างนี้ มันจะมีเสนอแนะวิธีการนั้น วิธีการนี้ อาจารย์องค์นั้นองค์นี้ คนนั้นคนนี้ ผู้ประสงค์ดีอย่างนั้นอย่างนี้ มันจะเสนออยู่ตลอดเวลา

เจอแน่ แล้วก็เสร็จมันแน่...แรกๆ นะ จะต้องเสร็จมันแน่ๆ เชื่อได้เลย ...ไม่ใช่เพราะอะไร ไม่ใช่เป็นนักพยากรณ์เอก ...แต่เพราะกูเป็นมาแล้ว เคยเป็นมาแล้ว ยืนยัน แบบไม่อายฟ้าอายดิน เป็นเหมือนกัน

กว่าจะกลับมายืนอยู่บนหลัก...แต่ละครั้งนั่นนะ มันยังไม่ใช่ยืนแบบถาวร ...แต่ละครั้งนี่เหมือนหมาหอบแดดน่ะ เคยเห็นหมาหอบแดดมั้ย แฮ่กๆ ประมาณนั้นน่ะ

กว่าจะกลับได้ จะตายแล้วกู หาแทบตาย เอ๊า ไม่ได้อะไรสักอย่าง แล้วกูจะไปยังไงวะเนี่ย ...นั่น แต่ไม่ท้อไง ไม่เลิก ไม่เลิกละศรัทธาในองค์ศีล...คือปกติปัจจุบันกาย 

ปกติปัจจุบันกายนี่เรียกว่าศีลนะ ...ในความหมายของเรา เราเชื่อของเราอย่างนี้  แล้วเราก็จะสอนให้ทุกคนเชื่อว่าศีลคือตัวนี้  คือความเป็นปกติของกายที่ปรากฏอยู่ ณ ปัจจุบันขณะนี้

แล้วเราเชื่อในสมาธิว่า ต้องอาศัย ต้องจิตเป็นหนึ่ง ต้องจิตตั้งมั่น ต้องจิตเป็นกลางอยู่กับปัจจุบันเท่านั้น จึงจะเป็นเหตุให้เกิดสัมมาญาณะ คือความรู้แจ้งเห็นจริง คือปัญญา

ยังไงๆ เราก็จะเอาตัวนี้มาเป็นกรอบ ...เมื่อมันร่อนเร่พเนจรไปตามอากัปกริยาของจิต หรือว่าเรื่องราวในจิต หรือว่าแง่มุม อุบาย วิถีทางการดำเนินการปฏิบัติ

สุดท้ายเราก็จะเอาตัวนี้มาเป็นตัวกำราบจิตให้มันยอม ให้มันสยบ ให้มันหยุด ให้มันอยู่ ...ทั้งๆ ที่ว่าขณะที่มันสงบ ที่มันหยุด ที่มันอยู่ มันอยู่ด้วยความไม่แล้วใจ ...ยังไม่แล้วใจนะ

คือถึงอยู่แล้ว...ก็ยังไม่แล้วใจ ยังจะ...อย่าเผลอนะมึง กูจะไปให้เห็นเลย ต่อหน้าต่อตามึงเลย ...นั่น ก็เอาล่อเอาเถิดกัน แบบไม่ให้เสียเวลาไปกับที่อื่นเลย ...นี่เรานะ

เพราะเรามีอาชีพนักบวชไง คืออาชีพคือบวชเลย  และงานของอาชีพอย่างเราก็คืองานละกิเลส และอาชีพหลักคือมาปฏิญาณตนว่าจะเดินในองค์มรรค ...เนี่ย พอดีอาชีพมันตรงไง

แต่บางคนอาชีพตรง แต่ว่าทำงานไม่ตรงก็มี เยอะแยะ ...พระนี่มีเป็นแสน เดินในองค์มรรคสักห้ามั้ง แล้วเดินที่สุดในองค์มรรค สักหนึ่งสองสามสี่ ...คือถ้ามันเดินตรงมรรคน่ะ อรหันต์เต็มโลกแล้ว

แต่ก็พยายามกันอยู่เนี่ย ก็พยายามบอก พยายามสอน ...ยังไม่ได้เดินก็บอกให้ได้ยิน ไม่เข้าใจก็พูดให้เข้าใจ ... ถึงแม้มันจะไม่เอาไปทำ แต่อย่างน้อยเสียงเราดัง 

ดังยังไง ...มันดังเข้าไปถึงใจ ไม่หายไปไหน เชื่อมั้ย อีกสิบปี ตายเกิดชาติหน้า มันยังมีเสียงเราเข้าไปอยู่ในหัวเลย ...จำ มันจะจำ เพราะมันเป็นความจริงที่เถียงไม่ได้ เชื่อได้เลย

แล้วต่อไปมันจะเชื่อ จิตจะยอมเอง ...เพราะไม่มีอะไรมาลบล้างสิ่งที่พูดนี้ได้เลย นี่ พูดต่อกันมาสองพันห้าร้อยกว่าปี ในความหมายของศีลสมาธิปัญญา ในสามโลกธาตุไม่มีอะไรจริงเกินกว่าศีลสมาธิปัญญา

ฟังไปคร่าวๆ นี่ จิตมันยังว่า..."ฮื้อ มั้ง งั้นๆ" ...นี่ ยัง...ยังไม่สะเด็ดน้ำ เจอขั้นสะเด็ดน้ำแล้วจะรู้สึกว่าที่ผ่านมานี่โคตรโง่เลยว่ะกู ...มันจะเห็นตัวเองอย่างนั้น 

เรียกว่าแทบจะน้ำหูน้ำตาไหลกับความโง่งมงายในอดีต ที่เคยกระทำ เคยคิด เคยเชื่อตามความคิด จริงจังกับการกระทำนั้นๆ ซึ่งตอนนั้นมันเข้าใจว่าฉลาดซะเต็มประดาแล้ว 

เนี่ย คือความอหังการ ...แล้วมันไม่ยอมให้เลิกเพิกถอนตัวมันเองแบบง่ายๆ ถ้าไม่ได้ยาแรงภายนอก คือคำกล่าว คำบอก คำว่า คำเตือน คำสอนอย่างนี้ 

ท่านว่าคำชมของคนพาลร้อยคนนี่ ไม่เท่าคำด่าของบัณฑิตประโยคเดียว เชื่อมั้ยล่ะ ...เพราะนั้น มาให้ด่าบ่อยๆ ...จิตมันจะได้รู้จักลงร่องลงทางซะบ้าง ให้มันรู้จักร่องทางที่มันควรอยู่ ว่ามันควรอยู่ตรงไหน


(ต่อแทร็ก 10/31  ช่วง 2)