พระอาจารย์
10/19 (560316E)
(แทร็กชุดต่อเนื่อง)
16 มีนาคม 2556
โยม – หลวงปู่วัดที่โยมไปภาวนา ก็เตือนบอกว่าให้ดูความสงบที่สร้างขึ้นกับความสงบจริงๆ
มันต่างกันยังไง
พระอาจารย์ – อือ กายใจคือความสงบอยู่แล้ว
ที่ไม่ต้องสร้างไม่ต้องทำ ...ให้เข้าไปถึง
หยั่งให้มันเห็นว่ามันเป็นความสงบในตัวของมันอย่างไร มันมีความสงบโดยที่ไม่มีเจตนา
ความสงบที่เราได้ ที่เราเคย
ที่เราเชื่อ ที่เราชอบ คือเป็นสงบที่เจตนา มันต้องสร้างขึ้นด้วยกุศโลบาย หรืออุบายใดอุบายหนึ่ง
หรือวิธีการใดวิธีการหนึ่ง
โยม – โยมเห็นสองอย่างค่ะ คือมันไปปล่อย
แล้วมันไปอยู่กับไม่มีไม่เป็น กับอีกอย่างนึงคือไปติดกับวิหารธรรมที่มันสงบ
แล้วก็ไปอยู่กับตรงนั้น อันนี้คือเป็นอันที่สร้างขึ้นใช่รึเปล่าคะ
พระอาจารย์ – ทั้งสองอย่างนั่นแหละ ...ไอ้ที่แบบปล่อยแล้วมันไม่มีไม่เป็นน่ะ
คือมันเกิดขึ้นด้วยความปรุงแต่งของจิต ยังมีจิตเข้าไปปรุงอาการนั้นคือมาเป็นอารมณ์ ...เป็นธรรมารมณ์หนึ่ง
บอกแล้วว่ามันละเอียดซ้อนละเอียด
จิตมันสร้างได้หมดน่ะ ...ถ้ายังไม่เห็นใจ
แล้วเอาใจมาทำหน้าที่แค่รู้และเห็นกับสิ่งที่เป็นปัจจุบันธรรมจริงๆ คือกาย
ตรงนั้นน่ะจึงจะเรียกว่าอยู่ท่ามกลางสังขารุเบกขา
เป็นสังขารุเบกขารมณ์ คือเป็นไม่ใช่เฉยๆ ไม่ใช่ว่างๆ แต่มันเป็นสังขารุเบกขาญาณ
เป็นอารมณ์หนึ่งในญาณที่รู้เห็นชัดเจนในสองสิ่ง
นั่นต่างหากไม่ใช่อารมณ์
เป็นสังขารุเบกขาญาณ ...จะว่าเฉยก็ไม่เฉย
จะว่าว่างก็ไม่ว่าง จะว่าเป็นอารมณ์ที่สร้างขึ้นมาโดยจิตก็ไม่ใช่
มันเป็นธรรมชาติของการที่ไม่มีการเกี่ยวข้องข้องแวะกันของสองสิ่งนี้ด้วยอำนาจของจิตไม่รู้ต่างหาก
เหมือนเป็นช่องว่างในตัวของอวกาศของธาตุและนาม
อวกาศของจิตและธรรม ...คล้ายๆ อย่างนั้น สุญญกาศ
เหมือนเป็นสุญญกาศ ไม่มีแรงดึงดูดเกาะเกี่ยวกัน นั่นต่างหาก
เพราะนั้นจะไม่ใช่เป็นสิ่งที่สร้างขึ้นด้วยอารมณ์หรือจิตปรุงแต่ง
มันเป็นธรรมชาติหนึ่ง ของการอยู่กันระหว่างสองสิ่งด้วยความเป็นสุญญตธรรม
หรือว่าสุญวิโมกข์
ยิ่งพูดยิ่งงง ไม่ต้องพูดดีกว่า ...รู้กายไปเรื่อยๆ
แล้วมันจะเข้าใจลึกซึ้งขึ้นไปเองตามลำดับ แล้วมันจะจำแนกธรรมได้เป็นฉากๆ ไป
ด้วยความชัดเจนในตัวของมันเอง
โยม – หลังๆ เหมือนโยมภาวนาไปด้วยแล้วก็รู้ไปด้วย
มันเลยทำให้ขี้ลืม ไม่ค่อยจำอะไร
พระอาจารย์ – ถูกต้องเลย มันไม่ต้องไปจำอะไร
โยม – แล้วมันทำให้บางทีงานก็เออ...หลุด
พระอาจารย์ – ชั่งหัวมัน เดี๋ยวก็ตายแล้ว ไม่ได้หอบเอางานข้ามภพข้ามชาติไปนี่
จะไปกังวลทำไม ลืมได้ก็ทิ้งได้ รู้จักทิ้งซะบ้าง
เวลามันลืมแล้วมันทำไม่ได้ ดูดิ
ยินดีมั้ย ยินร้ายมั้ย ...เห็นธรรมมั้ยนั่น แล้วจะไปแก้มันมั้ย
โยม – จริงๆ โยมก็เฉยๆ แต่ถ้าคนอื่นเขาก็จะบอกว่าไม่รับผิดชอบ
พระอาจารย์ – บอกแล้วไม่ต้องเกรงใจใคร เด็ดเดี่ยวไว้ ...โดนด่าก็โดนด่า รับคำไป ทำใจเป็นกลางอย่างเดียว
รู้ตัวอย่างเดียว มันจะแก้ไปในตัวของมันเอง
โดนด่าเยอะๆ เดี๋ยวมันแก้ของมันเอง
ไอ้ที่มันจำไม่ได้ เดี๋ยวมันก็จำของมันเอง ...จิตเขาฉลาด ใจผู้รู้นี่ บอกให้เลย
ถ้าอยู่ด้วยปัญญา มันฉลาดในการดำรงชีวิต ในการดำเนินชีวิตเองน่ะ
ไม่ต้องไปแก้ไขจัดการให้เขาหรอก เราน่ะโง่กว่าปัญญาญาณเยอะ ...ถ้าอยู่ด้วยปัญญาญาณไม่ต้องกลัว เขาเป็นผู้ชี้นำที่ประเสริฐ เขาจัดระบบให้เอง
อยู่กับความรู้ตัวไว้ ไม่ต้องแก้
ไม่ต้องเอาเราเข้าไปแก้ เข้าใจมั้ย เพราะถ้าเป็นเราก็ “เอ เจอธรรมอย่างนั้น
จะทำยังไงดี” จะเอาเราเข้าไปชี้นำ แล้วก็ไปหาวิธีการใด อุบายใดทำอีก
ทั้งหมดทำไปภายใต้ความสงสัย ใช่ป่าว คือไม่รู้จะใช่หรือได้ผลหรือเปล่า ลังเลไปหมด ...เพราะตัวมันยังไม่รู้เลยมันทำแล้วจะได้ผลรึเปล่า ถูกรึเปล่าที่มันทำอย่างนี้
แล้วเหมือนคนอื่นเขาทำมั้ย ...นี่ มันจะไปเรื่อยนะ
ทิ้งเลย ...รู้ตัว
ใช้ปัญญาญาณเป็นผู้นำ คือรู้ตัว...นี่ อยู่ด้วยปัญญาแล้ว แล้วเขาจัดการให้เอง ...โดนด่าก็ ดี จะได้เห็นว่าโกรธ หรือไม่โกรธ หรือมีความหงุดหงิดขุ่นข้องรึเปล่า
นี่ ชำระไปเลยในตัว
แล้วมันจะทำให้การดำรงชีวิตนี่สมดุล
ทั้งภายในและภายนอก ด้วยความพอดี ไม่เหลือเฟือ ไม่ขาด ...ก็จะไม่ได้ทั้งคำชมและคำด่า ...นั่นเขาเรียกว่าพอดีในภายนอก มันพอดี ก็เป็นกลางๆ
เราก็ไม่ได้ติดข้องผลงานภายนอกด้วย ...ถ้าดีเกินไปมันก็ชม ได้รับคำยกย่องก็ภูมิใจ
มีเราเข้าไปรับสมอ้างอีกต่างหาก ...ก็เลยไปข้องแวะกันเกาะเกี่ยวกันไป
เพราะนั้นโลก เป็นธุระของโลก
เรื่องของโลก ...เดี๋ยวก็ตายกันแล้ว ทิ้งไว้ในโลก ความดีความร้าย คำติคำชม
อยู่ในโลกนี้ ไม่เอาไปด้วย ...ไปเกรงใจทำไม ไปกังวลทำไม
โยม – ถึงเวลามันก็ออกมาเองใช่ไหมคะ
พระอาจารย์ – อือ อยู่กับตัวนี้ไป มันแก้ได้หมด อย่าไปคิดว่าเอาความคิดแก้ได้ เอาวิธีการแก้ได้ ...แก้ไม่ได้หรอก ยิ่งแก้ยิ่งโง่
ยิ่งแก้ยิ่งติด เหมือนลิงพันแห
แต่ว่าก็ต้องต่อสู้กับความกลัวอีก
เมื่อไม่แก้อะไร ...เมื่อแค่รู้ตัวแล้วมันจะกลัว กลัวเสียหาย กลัวถูกด่า กลัวโดนตำหนิ ...นี่ มันมีเราทั้งสองแง่แหละ
แต่เอาศีลไว้ เอาสติไว้ ...มันจะเสียหายขนาดไหน ขอให้มีสติอยู่ ขอให้มีตัวอยู่ ขอให้มันรู้อยู่ พอแล้ว ดีแล้ว
ควรแล้ว ประเสริฐแล้ว เลิศแล้ว เป็นเอกแล้ว เป็นหนึ่งแล้ว...พอ จบ ถูกหมดเลย
บอกให้
โยม – ตรงนี้มีคนบอกว่า ปฏิบัติธรรมก็ต้องไม่ทิ้งหน้าที่
งานก็ต้องไม่ให้เสีย
พระอาจารย์ – นั่นเขาเรียกว่าปฏิบัติแบบทีเล่นทีจริง
...ทำไมพระพุทธเจ้าไม่มีเมียไปด้วย
ทำไมไม่เลี้ยงลูกไปด้วย พร้อมกับนั่งสมาธิตลอดรุ่ง ทำไมไม่ว่าราชการไปด้วยล่ะ...ทำไม
ไม่งั้นท่านก็ทำหน้าที่ขาดตกบกพร่องตลอดเลยนะนั่นน่ะ ถึงขั้นหนีออกจากบ้านจากเมือง
ทิ้งราชสมบัติ ไม่ว่าราชการ เนี่ย ...คือจะเอาใครเป็นเยี่ยงอย่างดีล่ะ หือ
ต้องเอาพระพุทธเจ้าเป็นเยี่ยงอย่าง
เป็นแบบอย่าง ท่านแสดงแบบอย่างให้เห็นแล้วนี่ ...หรือจะเอาคำพูด หรือว่าจิต หรือว่ากิเลส
มันก็พยายามสร้างเงื่อนไขขึ้นมาว่า อย่างนั้นก็ได้ อย่างนี้ก็ได้
เอาเหอะ ไอ้ที่ว่ามันต้องได้ทั้งสองอย่างอย่างนั้นน่ะคือ..."ตามใจกูหน่อย นะ ตามใจความเห็นของกูหน่อย
ตามใจความอยากความสบายของกูหน่อย" ว่างั้นเหอะ
ไอ้อย่างนั้นน่ะ การปฏิบัติ การภาวนาตอนแรกๆ น่ะได้...พอพูดกันได้ในระดับเตรียมอนุบาลน่ะ ... แต่ถ้าคิดจะสอบไล่ขึ้นประถมมัธยมนี่...ไม่ได้หรอก
ต้องเลือกแล้ว...ต้องเลือกกายใจเป็นหลักแล้ว
แล้วมันจะทิ้งหมด ...หมายความว่าค่อยๆ ทิ้งนะ
โยม – ทิ้งที่ใจ
พระอาจารย์ – เออ แต่ว่ามันจะเป็นแบบทำไปอยู่ไปกับโลก แต่ไม่ขวนขวาย ไม่จริงจัง ดี...ก็ดีเท่ากับที่มันไม่ขวนขวายจริงจังแค่นั้นน่ะ
ไม่รู้จะดีตามที่เขาต้องการรึเปล่าก็ไม่รู้ แต่มันดีได้แค่นั้นจริงๆ
เพราะไม่ได้ใส่ใจตั้งใจขวนขวายจริงจังเอามรรคเอาผลกับมันน่ะ กับการงาน กับโลก กับอะไรอย่างนี้ ...มันก็เอามามรรคเอาผลกับกายใจตรงนี้น่ะ
คือว่าเอาตรงนี้เป็นหลัก นี่มันคนละที่กันแล้ว ...แต่ไม่ใช่ว่าทิ้งแบบไม่ดูดี ไม่ใยดี เพียงแต่ไม่ขวนขวายเลย ไม่ทำงานเพื่อรอเงินเดือนขึ้น ไม่ทำงานเพื่อหวังให้เงินเดือนสูงขึ้น ประมาณนั้นน่ะ
โยม – ไม่ได้ทำงานเพื่อให้งานเจริญ
พระอาจารย์ – หรือว่าตัวเองเจริญขึ้นเพราะงาน...ไม่ใช่ ... คือจะไม่มุ่งตรงนั้น แต่จะมุ่งเอาผลของการเจริญขึ้นในองค์มรรค
นี่เขาเรียกว่า
มันเหมือนกับเบนหัวเรือ เบี่ยงเข็มมา...จากงานที่เป็นงานภายนอก ซึ่งท่านเรียกว่ามิจฉาอาชีโวนี่ มาเป็นสัมมาอาชีโว คืองานภายใน ...มากขึ้นๆ นะ
แต่ไม่ใช่ว่าเอาแบบทีเดียวเลย ... นั่น เดี๋ยวมันก็ผีเข้าผีออก จะเป็นแบบผีเข้าผีออก แล้วไปไม่ค่อยรอด
ประเภทพระก็บวชๆ
สึกๆ ประมาณนั้น ...ศรัทธาทีนี่ เอาเลย ลาออกจากงาน บวช ...ไปได้สักพัก
ไม่เอาแล้วสึกดีกว่า กูคงไปไม่รอดแน่ อะไรอย่างนี้ ...นี่มันจะเป็นอย่างนั้น
แต่ลักษณะอย่างนี้
มันจะเบี่ยงเบนไปโดยธรรมที่มันเห็นไปตามลำดับลำดาไป ...มันก็เกิดความเข้มแข็ง มั่นใจ
มั่นคงในงานที่ควร ในงานที่ชอบ ด้วยดำริชอบ ด้วยงานการอันชอบ
แล้วก็เลี้ยงชีพชอบ
ดำเนินชีวิตชอบด้วยการเลี้ยงชีพด้วยองค์มรรคเลย ...ไม่ได้เลี้ยงชีพด้วยวิถีแห่งจิต
วิถีแห่งโลก วิถีแห่งสังคมแล้ว ... คือการงานมันอยู่ในวิถี
โยม – ของโยมทำไป...เหมือนจริงๆ งานไม่ได้แย่นะคะ
คือเขาให้มาแค่ไหนก็ทำเท่านั้น แต่ปัญหาคือมันยังมีนิดนึงว่าโยมเป็นเซลส์ค่ะ
คือถ้าตำแหน่งอื่นเขาให้มาแค่ไหนทำแค่นั้น ก็ไม่น่าเกลียด แต่พอเป็นเซลส์แล้ว
มันก็นิดนึงที่บริษัทเขาก็ expect ให้เรา
พระอาจารย์ – ก็ทำเท่าที่เขา expect มา
ได้เท่านั้นก็ได้เท่านั้น ...ก็บอกแล้วว่ามันเป็นวิบาก
ซึ่งแต่ละคนรับวิบากไม่เหมือนกัน ...ก็ต้องทนกับวิบากนี้ไป ฝืนๆ ไป
เพราะนั้นมันก็เลยทำแบบฝืนๆ ไป
ไม่เป็นไร เดี๋ยวมันก็ถึงจุดที่มันจะแตกหักกันไป ... ชาร์จแบตให้มันเต็มก่อนเถอะ แค่นั้นน่ะ แล้วมันจะหักได้ แตกหักกับการงานภายนอกได้
แล้วทุกอย่างมันจะสงเคราะห์ลงในธรรมเดียว ไม่ต้องกลัวหรอก
โยม – จะได้บวชมั้ยคะ
พระอาจารย์ – อย่าไปคิด ไม่ต้องคิด อดีตไม่มี อนาคตไม่มา ...อยู่แค่นี้
จะเป็นยังไงให้มันเป็นไปตามครรลองของธรรม ของมรรค เราไม่ต้องเอาเราไปกำหนด ไปคาด หรือไปเดา ...ทั้งหมดเป็นอุปาทานขันธ์...ยังไม่มี
จิตมันว่าใช่มั้ย จิตว่า ...มันสร้างรูปนั้นรูปนี้ขึ้นมาว่าตัวเราเป็นอย่างนั้น ตัวเราข้างหน้าเป็นอย่างนั้น
ตัวเรา ขันธ์ข้างหน้าเป็นอย่างนั้น จิตข้างหน้าเป็นอย่างนั้น ...ไม่มี จริงๆ
แล้วไม่มี ...นั่นขันธ์หลอก
ตรงนี้ นี่ กำลังขยับนี่ มือจับคอนี่
ความรู้สึกนี่ อยู่ตรงนี้ ...อยู่ตรงนี้ ต้องกำชับพื้นที่ เข้าใจมั้ย
อย่าให้มันเอ้อระเหยออกมา ...เท่าทัน นี่เขาเรียกว่าเท่าทัน
แต่ถ้าไปนั่งดูมัน ก็ปล่อยให้ดูไปเรื่อย ตามความคิดไปเรื่อย ใช่ป่าว...ชอบดูจิต นักดูจิตน่ะ ดูไปเรื่อย ก็ดูไปเรื่อยอย่างนี้ ...ของจริงมีไม่ดู
ไปดูของไม่จริงทำไม หือ ไม่มีสาระ
แต่ถ้าไปดูไปเรื่อยๆ นะ นี่ มันมีสาระขึ้นมาเลยนะ มันดูมีชีวิตจิตใจ โอ้โห ฝันแล้วๆ เริ่มละเมอ
เริ่มตกอยู่ในนิมิตฝันแล้ว มีตัวเรา โห สวยหรูเลย เป็นอย่างนั้น หรืออย่างนั้น
น่าจะอย่างนั้น นี่...ไปเลย
ทั้งที่ตัวยังนั่งอยู่ใช่มั้ย
ตัวจริงอยู่ไหน กายจริงอยู่ไหน ปัจจุบันจริงอยู่ไหน ความเป็นจริงของขันธ์อยู่ไหน
ขันธ์ตามความเป็นจริงอยู่ไหน...ไม่มี
ถ้าไม่มีศีลเป็นตัวกำกับน่ะ...เสร็จ
บอกให้ ถ้าไม่มีปกติกายเป็นตัวกำกับไว้...เสร็จ เพ้อเจ้อหมดน่ะ
เพ้อเจ้อไปตามอาการของรูปนามในจิตที่มันสร้างขึ้นในขันธ์ ...ทั้งๆ ที่ไม่มีจริง
เนี่ย มันจะไปเห็นขันธ์ห้าตามความเป็นจริงได้เมื่อไหร่ถ้าอย่างนี้ ...เห็นมั้ยว่าถ้าไม่มีกรอบของศีลเป็นตัวกำหนดกรอบไว้ จิตมันพาล่วงเกินหมดน่ะ สร้างขันธ์หลอกหมดเลย
แล้วก็แยกไม่ออกด้วย จำแนกไม่ถูก
ว่าอันไหนจริงอันไหนเท็จ ...แต่พอกลับมาตรงนี้...ปุ๊บนี่
ทุกอย่างดับหมด พึ่บ ไม่เหลือ ใช่มั้ย
เหลือนี้ไม่ดับ...กาย
อยู่ในภาวะเป็นคลื่นไว้ เป็นก้อนเป็นกอง เดี๋ยวย้ายไปปวดมั่ง ขยับมั่ง วูบวาบๆ ไปมา
ซาบซ่านไปมา อยู่อย่างนี้ๆ ...นี่ของจริง
เพราะนั้นปัญญาแปลว่ารู้เห็นตามความเป็นจริง
เนี่ย ถ้าไม่จริงถ้าไม่รู้ตรงนี้มันจะไปเห็นความเป็นจริงที่ไหน หือ
มันจะมีความเป็นจริงที่ไหน ถ้านอกจากนี้ไป
ถึงบอกว่าศีลน่ะเป็นกรอบ เป็นอาณาเขต
เป็นรั้ว เป็นฐาน เป็นพื้น เป็นหลัก ... ถ้าออกนอกศีลก็ล่ม
เละเทะ มั่ว เพ้อเจ้อ เลื่อนลอย ฟุ้งซ่าน ...สังขารธรรมล้วนๆ
ไม่ใช่ธรรมตามความเป็นจริง
แต่ทุกอย่างที่มากระทบสัมผัสสัมพันธ์กับก้อนนี้กองนี้
ณ ปัจจุบันนี้...จริง ตาเห็นตรงนี้...จริง รูปที่ปรากฏนี้...จริง เสียงที่กระทบมาเท่าที่มันปรากฏ ณ ขณะนี้...จริง อากาศแวดล้อมความเย็นร้อนที่กระทบ...จริง
นี่
ทุกอย่างจริงอยู่ในปัจจุบันเท่านั้น
ธรรมจริงอยู่ตรงแวดวงนี้เท่านั้น ...ถ้าไม่มีกาย ถ้าไม่รู้อยู่ที่กายนี้
จะไม่สัมผัสสัมพันธ์กับความเป็นจริงในปัจจุบันโดยรอบได้เลย
มันจะทิ้งหมดเลย
จิตพาวิ่งพาวนไป หายหมดเลย ความจริงตรงนี้รอบตัวนี้หายหมดเลย แต่มันเกิดความรู้ความเข้าใจอย่างนี้
อย่างนั้น อย่างนู้น มากมายก่ายกอง เลอะเทอะ เฟ้อ ฟุ้ง อุทธัจจกุกกุจจะ ท่านเรียก
เพ้อเจ้อ
ก็หักดิบ ปึ้ง...กลับ ปึ้ง..กลับ นี่หักดิบ โง่เต็มตัวเลย ไม่รู้อะไรเลย รู้ว่านั่ง...จบ จบแค่รู้ว่านั่ง...จบ จิตไม่ยอมจบ...ต้องจบ สติต้องกำกับอยู่อย่างนี้เลย
นี่
ต้องเข้มแข็งขนาดนั้นถึงจะเอามันอยู่นะ ถึงจะพลิกอยู่เหนืออำนาจของจิตได้นะ ไม่งั้นอยู่ใต้อำนาจของมันหมดน่ะ ใต้อำนาจความปรุงแต่งหมดเลย
เพราะเราใช้จนเคยน่ะ
อยู่กับมันจนคุ้นน่ะ เป็นความเคยชินอย่างยิ่ง ท่านเรียกว่าอนุสัย
นี่คืออนุสัยหนึ่งนะ ตามความเคยชิน ลอยไปตามคิดคำนึง ไปจริงจังๆ ...ไม่มีอะไรก็คิด
ก็ลอย เป็นความเคยชินคุ้นเคย
หัก ปึ้ง สติปึ้ง กลับมา...กายใจปัจจุบันปรากฏ ทุกอย่างสลาย วิมานลอยดับ
เหลือแต่โลกตามความเป็นจริงกับขันธ์ตามความเป็นจริงเท่านั้น
นี่ โลกข้างนอก
แวดวงกายออกไปนี่เรียกว่าโลกตามความเป็นจริง เท่าที่กายนั่ง รู้ว่านั่ง
นี่คือขันธ์ตามความเป็นจริง ...แล้วมีอาการนามวูบๆ วาบๆ ไปๆ มาๆ ภายใน ก็ชั่งหัวมัน ...แค่นี้แหละ
อยู่ให้ได้ ให้มันชัดอยู่แค่นี้ ไม่กี่เรื่องหรอก ...แล้วไม่ต้องไปคาด ไปหวัง ไปหมายกับอะไร
ให้มันอยู่ตรงนี้ให้ได้ ...นี่เขาเรียกว่าทำความแจ้งในศีลสมาธิปัญญา
หรือทำความแจ้งในองค์มรรค
ถ้ามันแจ้งถ้ามันชัดว่านี้คือมรรค
นี่คือทางหลุดพ้น
นี่คือเส้นทางที่จะไปสู่ความที่สุดคือความจบความสิ้นความหลุดความพ้นได้
นั่นเรียกว่าแจ้งในมรรค ...มันจะไม่ออกจากนี้เลย
เพราะนั้นผู้ที่แจ้งในมรรคก็เรียกว่าเป็นอริยจิต
อริยบุคคลเท่านั้น ...ไม่งั้นมันยังมีที่เลือก มีทางให้เลือกอยู่ ว่านั้นเป็นมรรค นู้นก็เป็นมรรค วิธีนั้นก็ยังเป็นมรรค นั่นเรียกว่ามักมาก
ไม่ใช่มัคคา เข้าใจมั้ย มันแยกไม่ออกหรอก
มีแต่อริยบุคคลเท่านั้นถึงจะเนี่ย...ทางเส้นเดียว สายเดียว เอกายนมรรค ไม่มีหลุดรอดจากนี้เลย...ต้องนี้เท่านั้น
เท่านี้เท่านั้น ชัดเจนมาก ชัดเจนในศีลสมาธิปัญญามาก แบบลึกซึ้งเลยน่ะ
ไม่หวั่นไหวไปตามกระแสคำพูดความคิดเลย
ทั้งของตัวเองและของคนอื่น บอกให้เลย ...จึงหมดความสงสัยในมรรค
จึงหมดความสงสัยในศีลสมาธิปัญญา นั่นน่ะท่านเรียกว่าละวิจิกิจฉาออก
...............................