พระอาจารย์
10/25 (560317F)
(แทร็กชุดต่อเนื่อง)
17 มีนาคม 2556
(ช่วง 2)
(หมายเหตุ : ต่อจากแทร็ก 10/25 ช่วง 1
แม้กระทั่งในปัจจุบัน ...มันก็เป็นแค่อะไร ไม่มีตัวไม่มีตน ไม่มีความเป็นใครของใคร แล้วมันเป็นธรรมชาติที่วูบๆ
วาบๆ ไปมา
พระพุทธเจ้าก็หันหน้ากลับมาบอก...เหล่านี้เรียกว่า นิโรธ ...ซึ่งเป็นผลจากการเจริญมรรค
คือความดับไปสิ้นไปของอำนาจทะยานอยากของจิต
แล้วทุกสิ่งทุกอย่างที่ปรากฏขึ้นนั้น
ปรากฏอยู่ตามธรรมชาติที่แท้จริงของเขาเอง
แล้วธรรมชาติที่แท้จริงของเขาเองมีอะไร ...ธรรมชาติหนึ่งคือไตรลักษณ์ อีกธรรมชาติหนึ่งคือเหนือไตรลักษณ์
อะไรล่ะเหนือไตรลักษณ์ ...ก็ไอ้ดวงใจที่รู้และเห็นนั่นแหละ
มันไม่เคยเปลี่ยนเลย
มันเป็นธรรมชาติที่คงอยู่ ไม่เกิด
ไม่ดับ ไม่มาก ไม่น้อย ไม่เคลื่อน ไม่เปลี่ยน ไม่ดีขึ้น ไม่ร้ายลง ไม่มากขึ้น
ไม่น้อยลง ...มันเท่าเก่า คงเดิม ดูเหมือนเป็นอนันตา
ดูเหมือนมันเป็นนอกกาลเวลาจะควบคุมได้
ดูเหมือนมันนอกเหนือเหตุปัจจัย
มันนอกเหนือกิริยาทั้งหลายทั้งปวง ...จึงเรียกว่ามันเป็นอกิริยา
มันจึงเรียกว่านอกจากการประกอบด้วยสังขารทั้งหลายทั้งปวง ...คือมันเป็นวิสังขาร
นี่ มันจะเห็นธรรมชาติอีกธรรมชาติหนึ่ง
ซึ่งแตกต่างจากทุกขสัจที่เป็นอาการแปรปรวนไปมา เกิดๆ ดับๆ เดี๋ยวมากเดี๋ยวน้อย
เดี๋ยวมีเดี๋ยวไม่มี เดี๋ยวนานเดี๋ยวไม่นาน เดี๋ยวแป๊บเดียว เดี๋ยวไม่หายไปไหนเลย
ยิ่งอยู่ในมรรคอย่างนี้...ยิ่งเห็นความเป็นจริงแค่สองอย่างนี้เอง นอกนั้นไม่มีอะไรจริงเลย ...มีความจริงอยู่สองอย่างนี้เองจริงๆ
จิตที่มันทะเยอทะยานกวัดแกว่งไปมา มันเห็นอย่างนี้ มันก็ไม่รู้มันจะกวัดแกว่งหาอะไร หือ มันจะหาอะไร มันจะไปหมายอะไร
มันจะไปตั้งอยู่ที่ไหน
มันจะไปครอบครองอะไรดี
มันจะไปเกิด ไปนั่งไปนอน ไปกินอยู่ตรงไหนดี ...มันไม่รู้จะไปอยู่ที่ไหนแล้ว มันก็ไม่ไป
มันก็อยู่ของมันตรงนั้นแหละ
มันก็รู้สึก...แค่อยู่ตรงนี้...เท่านี้ก็พอแล้ว ไม่เห็นเหนื่อย ไม่ต้องเหนื่อยยาก ...มันก็ยิ่งเบาขึ้น
ในภาระการค้นการหา อยากหรือไม่อยาก
พวกที่นั่งฟังอยู่ บางคนก็เมื่อยแล้ว ลุกไปนอนได้
เข้าใจแล้ว บางคนก็ดูไปดูมาจน..ไม่มีอะไรเป็นสาระอีกต่อไป
ยอมรับทุกธรรมชาติตามความเป็นจริงเท่าที่มันปรากฏนี้...โดยสิ้นสงสัย
เหล่านี้ เช่นนี้ ...เมื่อพระพุทธเจ้าท่านแสดงธรรมเสร็จ ท่านถึงบอกว่า ณ วันนี้ ณ ที่นี้
มีผู้เข้าถึงความเป็นโสดาจิต จำนวนเท่านี้ ...สกิทาคา จำนวนนี้เท่านี้ ...อนาคามี จำนวนนี้เท่านี้ ...อรหันตา
จำนวนนี้เท่านี้
และมีผู้เข้าถึงไตรสรณคมน์เบื้องต้น จำนวนนี้เท่านี้ เป็นผู้มีศีล รักษาปวารณาศีลสมาธิปัญญาอยู่เท่านี้
แต่ส่วนมากสมัยนี้...มันอยู่ไอ้ตัวหลังสุดน่ะ ...แล้วเข้านี่ยังเข้าถึงแบบผิดๆ อีกนะ...มะยังภันเตน่ะ เข้าถึงแบบมะยังภันเตน่ะ
ยังไม่เข้าถึงอธิศีล อธิสมาธิ อธิปัญญา
คือขี่ม้ารอบเมืองอยู่
กะว่าจะตีตอนเย็น หรือกะว่าจะตีตอนเลิกงานแล้ว หรือว่ากะว่าจะตีตอนที่มันปลอดคน ...ไปๆ
มาๆ ปรากฏว่าม้ามันเหนื่อย หิว ก็เลย...นอนก่อนดีกว่า
มัวแต่ขี่ม้าวนรอบเมืองสามสี่รอบก็แล้ว
กูยังไม่ตีสักที ...มันติดอะไรอยู่ มันรั้งรออะไร หือ ...กลัวตาย กลัวเข้าไปแล้ว
ปึง กูจะต้องเจอมันตีกลับแน่เลย แล้วที่สุดการตีนี้ก็สูญเปล่าสิ
มันก็ว่า...เดี๋ยวก่อน วนดูก่อน
เผื่อมีรอยแยกตรงไหน กูจะเข้าไปแบบเรียบง่าย แล้ว...ปึ้ง เข้าถึง King of the King…อวิชชา ปุ๊บ เด็ดหัวมันปลิดเลย นั่น
แต่กูวนมาหลายปีแล้วนะเนี่ย
ยังหาช่องแตกไม่เจอเลย ม้ามันก็..เดี๋ยวก็นอนๆ แล้วก็ผอมไป คนขี่ก็แก่ตัวลงไป
พอนอนแล้วมาขึ้นหลังม้าก็...โอยๆ ไม่ไหวแล้ว ต้องหาลูกหลานพยุงให้นั่งสมาธิน่ะ
คือไปนั่งสมาธิก็ยังขี่ม้ารอบเมืองกันอยู่
อยู่กับอุบายอยู่อย่างงั้นน่ะ...ตั้งจิตให้สงบ แล้วมันจะได้มีกำลัง
ถ้ามีกำลังแล้วคราวนี้ได้การล่ะ ...สุดท้ายกูก็ตายก่อนล่ะวะ ไปไม่รอดสักที
เพราะอะไร ... สงบ..กูยังไม่สงบเลย
ยังไม่รู้จักความสงบที่แท้จริงคืออะไรเลย ยังไม่เห็นเงา...แม้กระทั่งเงาของความสงบเลย ...แล้วไอ้ความสงบที่มันเป็นเงาฉายมานี่
ยังเป็นความสงบที่ไม่จริงอีกต่างหาก
ดูสิว่ามันอ้อมเมืองขนาดไหนล่ะ ...มันถึงตกค้าง ตกคลั่กกันอยู่นี่
ไล่ให้ไปก็ไม่ไป ...หนูจะอยู่โยง
หนูจะเป็นปู่โสม หนูยังอาลัยอาวรณ์ในขันธ์ หนูยังอาลัยอาวรณ์ในเพื่อน
หนูยังมีจิตเมตตาอาทรต่อสัตว์น้อย สัตว์ใหญ่ สัตว์ผู้ตกยากตกทุกข์
ไปไหนก็ห่วง ...มาวัดก็ห่วงบ้าน
กลับบ้านก็คิดถึงวัด กลับไปวัดอีกก็คิดถึงบ้าน คิดถึงคนที่อยู่ในบ้าน
แล้วก็พาลคิดไปถึงที่ทำงาน มันจะไล่กูออกมั้ย มันจะเพิ่มเงินเดือนให้มั้ย ...ห่วงไปหมด
ตายแล้วก็ยังไม่หมดห่วง
ยังไม่หมดอาลัย ยังไม่หมดอาวรณ์ ก็ว่า.."นี่ ถ้าได้อยู่อีกห้าปีสิบปี เราก็จะ.. นี่อีกสักสามปีก็จะ.." ...อยู่อย่างนั้นน่ะ สุดท้ายก็ตาย ยังไม่ได้ "จะ" อะไรเลย
ก็เลยมา
“จะ” เอาใหม่ชาติหน้า ...ลืมตาถามแม่...พ.ศ. อะไร... “5000” ... พระอยู่ไหน...“ไม่มี” ... ศีลคืออะไร...“ไม่รู้” สมาธิล่ะแม่...“ไม่รู้จัก” ...แม่มันจะตอบอย่างนี้
มันไม่มีศีล มันไม่รู้จักหรอก ...ถ้ามันไม่มีศีล มันไม่รู้จักศีลน่ะ แล้วมันจะรักษาศีลมั้ย
ถามว่าเอาแค่ศีลหยาบๆ
นี่ ศีลภายนอก ศีลห้านี่ ...มันไม่ละอายต่อบาป
ไม่เกรงกลัวต่อบาป...ถ้าไม่มีศีล ถ้าไม่รักษาศีล ถ้าไม่เชื่อศีล ถ้าไม่เชื่อกรรม
นี่ พวกเรายังเชื่ออยู่นะ
พ่อแม่มันยังสอนอยู่น่ะ
ยังอยู่ในยุคสมัยที่...ยังมีตลบอบอวลด้วยควันไฟคุกรุ่นแห่งมรรคศีลสมาธิปัญญาของพระพุทธเจ้า อยู่
มันถูกหล่อหลอมด้วยความเชื่อความเห็นนี้อยู่ว่า...อย่าทำนะลูก มันบาป เดี๋ยวเวลากลับคืนมาแล้วนี่ หนูจะแย่ มึงจะแย่ อย่าไปทำไม่ดี
พูดไม่ดี อย่าไปทำอย่างนั้น
มันก็กลัว เพราะถูกปลูกฝังมา ...นี่เขาเรียกว่ากัมมพันธุ กัมมทายาโท มันสืบทอดด้วยกรรม
แต่ไปสมัยโน้นแล้ว ห้าพันปีล้ำไปนี่ ...ศีลไม่รู้จัก สมาธิไม่รู้จัก บุญไม่มี บาปไม่มี ตายเกิดไม่รู้ ... บุญ ผลการกระทำ วิบากกรรม คืออะไรน่ะ
ไม่มีหรอก เคยเห็นแต่มีในห้องสมุด
มันน่าจะเป็นปรัชญาประเภทนึงนะ ...เนี่ย ไม่กลัวหรอกบาป ทำไปเหอะ อยากทำอะไรก็ทำ
ตามความพอใจ
มันก็อยู่กันแบบสัตว์น่ะ
คือสัตว์นี่มันอยู่กันโดยสัญชาติญาณ...หิว..กิน ถูก-ผิดไม่รู้ กูจะกินให้ได้
ใครจะตายเพราะกูแย่งมากิน ก็ไม่ได้รู้สึก..สำนึกไม่มี
น่าเจริญองค์มรรคมั้ยล่ะในยุคนั้นน่ะ หาความสงบในการพุทโธเกิดได้มั้ย ...พุทโธก็เข้ากรุไปเลย ไม่รู้จักคำว่าพุทโธเลย
ไม่รู้จักคำว่าดวงจิตผู้รู้เลย
ไม่รู้จักคำว่านิพพานด้วยซ้ำ
ว่ามีจริงมั้ย หรือเป็นคำเล่าลือเล่าอ้างมาลอยๆ Once
upon a time เขาเล่ามา เป็นตำนาน ไม่มีหรอก ไม่จริงหรอก เรื่องโกหก
นี่ ถ้ามัวแต่อยู่แบบเลื่อนๆ ลอยๆ กันนะ ...แต่การเกิดการตายไม่เลื่อนลอยนะ วน ซ้ำ ไม่ไปไหนหรอก กลับมาอยู่อย่างนี้ ไม่ชายก็หญิง
ไม่หญิงก็ชาย ไม่ก็ครึ่งหญิงครึ่งชาย ไม่ก็เป็นสัตว์
วนอยู่อย่างนี้...มันเป็นสภาวะ อยู่อย่างนี้ มันเป็นกฎตายตัวเลย ...ถ้าไม่ขวนขวาย ถ้าไม่เจริญมรรค ถ้าไม่ขยันขันแข็ง ถ้าไม่ตั้งอกตั้งใจใส่อกใส่ใจ
น้อมนำเอาธรรมที่หาฟังได้ยากในโลก...เป็นทางออก
เพราะอะไร ...โลกนี่
หรืออายุขัยของโลกนี่ หรืออายุขัยของจักรวาลนี่ มันไม่มีอายุ ...หมายความว่ามันไม่มีคำว่าหัวและท้าย คือมันไม่มีคำว่าสิ้นสุดหรือว่าดับเมื่อไหร่...ไม่มี
ถึงโลกนี้แตกโลกนี้ดับ
เดี๋ยวการสังเคราะห์ขึ้นใหม่ของโลก ก็จะสังเคราะห์ขึ้นมาทดแทนอยู่ตลอด จักรวาลนี้ดับ
จักรวาลใหม่ก็จะเกิดขึ้น ...มันจะมีการทดแทนหมุนวนอยู่อย่างนี้
คือเป็นลักษณะของวัฏฏะ
ไม่มีอายุขัยเลย เป็นอนันตกาล ...เหมือนอยู่ในความมืดมิด
ไม่มีทางออกในตัวของมันเลย ...มันจะเป็นกฎตายตัวเลย
ตราบเมื่อมีพุทธะบังเกิดขึ้น
คือการปรากฏขึ้นของพระพุทธเจ้า ...การบำเพ็ญบารมีครบ...สี่อสงไขยแสนมหากัป
แปดอสงไขยแสนมหากัป สิบหกอสงไขยแสนมหากัป ...แต่ละองค์น่ะ
แล้วบังเกิดขึ้น จุติขึ้น
อุบัติขึ้น ...เหมือนมีความสว่างปลายไม้ขีด...จุดขึ้น...ท่ามกลางความมืดมิดในอนันตาจักรวาล
ที่เป็นแสงสว่างให้เห็นถึงช่องทางออกจากความหมุนวนในจักรวาลนี้
แต่ว่าความสว่างนี้ ...ถ้าให้เปรียบนี่
เหมือนกับเท่าก้านไม้ขีด...อายุ ระยะเวลาเท่าก้านไม้ขีดไฟ ...แล้วตอนนี้...ครึ่งก้าน
ผ่านมาครึ่งก้านแล้ว เกินครึ่งด้วย
ถ้าว่าได้ดับไปแล้วนี่
ไม่ต้องถามว่าเมื่อไหร่...นับไม่ได้ ไม่รู้กี่ปี
จึงจะมีแสงสว่างที่เป็นเหมือนก้านไม้ขีดนี่จุดมาท่ามกลางความมืดมิดในอนันตาจักรวาล
แต่การเกิดตายของพวกเรานี่
ที่ขี้เกียจ ที่อยู่นอกมรรค...มันไม่หยุด สลับเกิดดับต่อเนื่อง
เปลี่ยนภพนี้เป็นชาตินี้ เปลี่ยนจากสัตว์บุคคลนี้
เป็นอย่างนั้นอย่างนี้ ...หมุนวนอยู่อย่างนี้ เป็นอย่างนี้นะ.
..................................