วันอังคารที่ 21 มีนาคม พ.ศ. 2560

แทร็ก 10/39


พระอาจารย์
10/39 (560420B)
(แทร็กชุดต่อเนื่อง)
20 เมษายน 2556


พระอาจารย์ –  กว่าที่มันจะเกิดปัญญาในองค์มรรค ขั้นต้น ขั้นแรก ...คือปัญญาขั้นต้นขั้นแรก คือสัมมาทิฏฐิขั้นต้นขั้นแรกก็คือว่าศีลคืออะไร สมาธิคืออะไร ปัญญาคืออะไรก่อน ...นี่ ไตรสิกขา

แล้วก็ค่อยๆ เรียนรู้ปฏิบัติตาม ด้วยความเข้าใจที่ตรงกับศีลสมาธิปัญญา ...ท่ามกลางความลังเลสงสัย...จำไว้เลย ยังไงมันก็ทำไปด้วย สงสัยด้วย ในระหว่างที่ทำน่ะ

แต่ว่ามีความเชื่อความเข้าใจตามที่ได้รับการอบรมสั่งสอนจากครูบาอาจารย์ ...คือจุดเริ่มต้นของการเจริญขึ้น เกิดจากการคบสัตบุรุษ ฟังธรรมจากสัตบุรุษ

ตรงนี้เป็นปัจจยาการแรก ของการเดินสู่องค์มรรค เดินสู่เส้นทางของมัชฌิมาปฏิปทา ...นี่ พูดง่ายๆ มันต้องเกิดเหตุปัจจัยที่เอื้อ สงเคราะห์ สนับสนุน

คือมันจะต้องมาฟังธรรม ได้ยินธรรม จากสัตบุรุษ หรือว่าผู้รู้ ผู้เป็นบัณฑิต มันจึงจะเป็นธรรมที่สงเคราะห์ให้เกิดความชัดเจน ชัดแจ้ง ในองค์มรรค ในวิถีแห่งมรรค

แล้วจากนั้นก็ยังศรัทธาในการได้ยินได้ฟัง คิดค้นไปด้วยจินตนาการหรือจินตามยปัญญานี่ แล้วก็ไปอบรมอินทรีย์ พละ ๕ ...เริ่มตั้งแต่ ศรัทธา วิริยะ สติ สมาธิ ปัญญา

นั่นเอง ความชัดเจนในมรรค ความชัดเจนในคำว่าศีล สมาธิ ปัญญา...คืออะไร อย่างไร ...แล้วจะทำอย่างไร ปฏิบัติอย่างไร จึงจะเรียกว่าตรงต่อศีลสมาธิปัญญา ตรงต่อองค์มรรค ตรงต่อมัชฌิมาปฏิปทา

อันเนี้ย มันจะต้องเรียนรู้ด้วยตัวเอง ด้วยการปฏิบัติเอง ด้วยการทำเอาเอง แล้วระหว่างที่ทำเอาเองนั่นน่ะ ต้องระวังเหตุหรือปัจจัยที่มันจะมาสนับสนุนให้ออกนอกองค์มรรค

ซึ่งไม่มีอะไรหรอก คือความคิดของเรา ความเห็นของเรานั่นเอง ถ้าให้เปรียบก็คือตัวนี้ คือตัวผู้ร้ายหน้าจอ ต้องคอยดูให้ดี มันจะมีหน้าเหมือนตัวเราเองนั่นแหละ

แต่หน้ามันดูดี มันเห็นหน้าตัวมันเองมันก็บอกว่าน่าจะเป็นพระเอกนะ ...แต่เราบอกว่านั่นน่ะตัวร้าย ผู้ร้าย  มันจะเป็นตัวขัด มันจะเป็นตัวขวาง มันจะเป็นตัวที่เป็นนักปราชญ์ ฉลาดรอบรู้ไปหมด

ยิ่งอ่านมากเท่าไหร่ จำมากเท่าไหร่...อ่านตำรา จำพระไตรปิฎกได้ทุกเล่ม ทุกวรรค ทุกอรรถ ทุกคาถา ทุกพยัญชนะ ฮึ พระเอกแท้ๆ เลยนั่นน่ะ

กว่าจะเห็นว่ามันซ่อนหน้ากากของมาร ว่าเป็นสังขารมาร ว่าเป็นเทวบุตรมาร ว่าเป็นอภิปุญญาภิสังขารมาร ว่าเป็นปุญญาภิสังขารมาร ว่าเป็นขันธมาร ว่าเป็นกิเลสมาร เล่นเอากันลิ้นห้อยน่ะ

เหนื่อยก็เหนื่อยตรงเนี้ย ตรงที่จะยกจิต ยกกาย ยกวาจา ขึ้นสู่องค์มรรคที่แท้จริง ขึ้นสู่มัชฌิมาปฏิปทาที่สมบูรณ์และแท้จริง ยากตรงนี้แหละ ยิ่งกว่าปีนเขาพระสุเมรฺอีก

เพราะนั้นในขั้นตอนระดับปุถุชน ยันโสดาบันนี่ เหมือนยืนอยู่บนคมดาบ แล้วก็จะปีนยังไงให้พ้นคมหอกคมดาบ ...เพราะว่าเขาที่มันปีนนั่น มันสูงชัน ไหลลื่น

แล้วมันจะหมดแรง ด้วยความท้อถอย อ่อนเพลีย ...แล้วก็จะเกิดความมักง่าย พอเห็นเนินเล็กเตี้ยๆ ขนาดนี้ ก็ว่า...เอาล่ะวะ ใช่แน่ๆ ล่ะกู เดินไปเลย เร็วดี

ก็เหมือนกับเราเคยอธิบายน่ะ อย่างพวกที่ไม่เคยขึ้นหรอกดอยหลวง ไม่มีใครเคยขึ้นถึงยอดดอย หันรีหันขวาง ไปล่ะโว้ยกู ขึ้นมานี่ โอ้ เหนื่อยแทบตาย ...ถึงแล้ว

ถึงไหน ...มันยังไม่เคยขึ้นดอยหลวงเลย มันเสือกบอกว่าถึงแล้ว ใช่แล้ว นี่ดอยหลวง ...ฮู้ย มันตีนดอยหลวง ยังไม่ครึ่งตีนเลย ปักหลักปักธงเลยว่าถึงแล้ว

ไอ้คนที่เดินขึ้นดอยหลวงมาซักห้าร้อยล้านครั้ง เดินผ่านไปผ่านมาหันมาเห็นก็...ฮึ (หัวเราะ) สมเพชว่ะ ...มันก็ภูมิอกภูมิใจนะ ตั้งเต็นท์เลย ก่อกองไฟ เล่นกองไฟ ว่ากูถึงแล้ว ไม่ไปไหนแล้ว

คนที่ขึ้นดอยหลวงแบบจำได้แม้กระทั่งหินทุกก้อน โค้งทุกโค้ง มุมทุกมุม ทางแยกทุกทางแยก เดินผ่านมาเห็นแล้วก็...ฮึ ไม่ใช่นะโยม โยมต้องขึ้นไปอีกนะ ...ไม่เชื่ออ่ะๆๆ ไม่เชื่อหรอก

เพราะหน้าตาคนบอกมันไม่น่าเชื่อก็ได้ หรือว่ารูปทรง สัญลักษณ์ที่ห่อหุ้มแล้วมันไม่เชื่อ ...ก็มันดูตัวเองแล้วมันผ่องใส คือมันเข้าข้างตัวเองตลอดเวลาอยู่แล้ว

นี่เขาเรียกว่าอัสมิมานะ คือความถือตัว ทุกคนจะต้องมีความถือตัว ถือความเป็นเรา ความเป็นของเรา ...ไม่ผิดหรอก มันเป็นสันดาน มันเป็นอนุสัย

แล้วก็ต้องเอาตัวเองนั่นแหละไปแก้ความถือตัวของตัวเอง...ตรงนี้มันฝืด มันจะเกิดความฝืดเกิดขึ้น ว่าเอาซะหน่อยเถอะวะ ลองเชื่อท่านซักหน่อย ...เนี่ย เขาเรียกว่าฟังธรรมจากสัตบุรุษ ฟังธรรมจากบัณฑิต

นี่เป็นเหตุให้เกิดมรรคที่ชัดเจนขึ้น ต้องมีศรัทธาเป็นตัวที่ก้าวเดินไปในองค์มรรค ...เนี่ย เป็นตัวต้น เป็นตัวต้นเหตุให้เกิดเหตุแรกที่จะเป็นพละ อินทรีย์พละ คือการก้าวเดิน

เพราะนั้นพอเริ่มศรัทธา แล้วมีวิริยะ ก้าวเดิน ปุ๊บนี่ เหนื่อยแล้ว กำลังเล่นรอบกองไฟอยู่เพลินๆ เชียว คือกำลังนอนตายกับกิเลสเพลินๆ ว่างั้นเหอะ ประมาทมัวเมาอยู่

พอเริ่มเดินด้วยวิริยะ มันเหนื่อยนะ ต้องออกแรงนะ มันต้องเมื่อยนะ มันต้องปวด มันต้องเจออะไรไต่ตอม แมลง สัตว์เยอะแยะในป่า หิวก็หิว เหนื่อยก็เหนื่อย ร้อนก็ร้อน ...นั่นน่ะ มันต้องวิริยะ บากบั่น

แต่ถ้าหยุดพักเมื่อไหร่ปั๊บ นอนสบาย ไม่เจออะไรหรอก ไม่เหนื่อย สบายดี ...เอาละวะ กูเอายอดแค่นี้พอล่ะ บารมีเราน้อย คงไปไม่ถึงหรอก หยุดดีกว่า

หรือดีไม่ดีมันก็หันรีหันขวางว่า...เอ๊ะ น่าจะดอยนั้นมั้ง ไอ้ที่พูดนี่ไม่ใช่มั้ง หาดอยใหม่ ตามประสามัน อันไหนเป็นเนินๆ สูงๆ หน่อย ก็ว่า เอ๊ะ น่าจะดอยหลวง ...ทำไปอย่างนั้น ว่าไปเรื่อย อาจจะไม่ใช่ก็ได้ 

เริ่มความบังเกิดแห่งศาสดาหัวแหลมเกิดขึ้นแล้ว ...ศาสดาหัวแหลมคือพยากรณ์เองเสร็จสรรพ มรรคอยู่ไหน ผลอยู่ไหน ศีลสมาธิปัญญาคือตัวไหน ว่าเสร็จสรรพตามประสาของมัน

มงคล ๓๘ ท่านจึงกล่าวไว้ กาเลน ธมฺมสฺวนํ , กาเลน ธมฺมสากจฺฉา, ... อเสวนา จ พาลานํ

เห็นมั้ย มงคลแรกจั่วหัวไว้เลย อเสวนา จ พาลานํ ไม่คบคนพาล ไม่อยู่ใกล้คนพาล ไม่ไปฟังความคิดความเห็นจากคนพาล ...ท่านเรียกว่าเป็นมงคลข้อแรกใน ๓๘ ข้อ

แล้วก็คบบัณฑิต ฟังธรรมตามกาล ปฏิบัติธรรม เห็นนิพพานยิ่ง มีความเพียร ขันติ การให้ทาน การกตัญญู การเคารพ การนอบน้อม พวกนี้

การไม่คั่งค้างในการงาน อนากูลา ...คือจิตผู้ภาวนานี่มีอยู่อย่างนึง คือมันจะเกษียณอยู่เรื่อย เอาแล้ว พอแล้ว พักก่อน…"วันนี้นั่งสมาธิ...ตั้งครึ่งชั่วโมง" ...พักแล้ว แผ่หลาเลย กายก็แผ่ จิตก็แผ่ พักหมดเลย

หูย วันนี้ทำตั้งครึ่งชั่วโมง เยอะจริงๆ (หัวเราะ) ...ไอ้ยี่สิบสามชั่วโมงครึ่งน่ะ มันหายไปไหน  ไอ้ไหนเยอะกว่ากัน ไอ้ที่หายไปกับไอ้ที่ว่าอุตส่าห์ทำ...ซึ่งอุตส่าห์ทำนี่ยังแอบฟุ้งซ่านอีกต่างหาก 

คือนั่งประมาณครึ่งชั่วโมงนี่ จะมีซักสิบหรือห้านาทีหลังเท่านั้นแหละที่อยู่ตัว หยุด หรือว่าคือมันหอบแฮ่กๆ เหนื่อยเหมือนหมาหอบ แล้วก็นั่งพัก เอาแหละ พอแล้ว

พอพูดว่า ภาวนาทุกลมหายใจเข้าและออกนี่ หูย หนาวเลยกู ใช่มั้ย เจอป้ายเขียนไว้หน้าปากทางขึ้นถ้ำ ภาวนารู้อยู่ทุกลมหายใจเข้าออก กายคนอื่นไม่ต้องไปดู ดูแต่กายตัวเองทุกลมหายใจเข้าออก

หูย หนาวเลยกู ทำไม่ไหวแล้ว แค่อ่านก็หนาวแล้ว  ก็ครึ่งชั่วโมงกูว่าตั้งเยอะแล้วนี่ ถ้าให้ทุกลมหายใจเข้าออก ตายแน่ ...จิตมันบอกเลยนะ มันบอกให้เสร็จสรรพเลย ตายแน่ๆ ไม่ได้แน่ๆ เลย

มันประเมินกำลังตัวเองเสร็จเลยว่ากูจะต้องจม หมัก แช่ เป็นผักกาดดอง ...เอาจนเค็ม ถ้าไม่เค็มแล้วมันจะเน่า มันจะเสียของ เข้าใจมั้ย เพราะมันหมัก ดองแบบดองเค็มเลยนะ

เอาจนเค็มปี๋เลย อยู่ได้นานเลย เกิดตายๆ ได้อีกหลายๆ อเนกชาติ เพราะมันดองเค็มน่ะ คือไม่ไหวแล้ว กูดองเค็มดีกว่า ไอ้พวกผักกาดดอง ผ.ก.ด. ...ไม่ใช่ผู้ก่อการดีนะ ผักกาดดอง

กลัวจะไม่เค็ม กลัวจะกินได้ไม่นาน เดี๋ยวมันเน่า ก็เลยปล่อยเนื้อปล่อยตัว พักซักหน่อย เก็บนั่นเก็บนี่ คือเก็บอะไรต่อมิอะไร เก็บเกลือมาดอง มันจะได้เค็มๆ

อย่างนี้จะได้อยู่นานๆ เที่ยงๆ ...คือ “เรา” น่ะเที่ยงเลย  มันดองจน “เรา” นี่เที่ยงเลย ไม่แก่ไม่ตายเลย เป็นอมตธาตุ อมตธรรม คือมันอยู่ด้วยการดองเค็ม

นี่แหละ พวกชอบเกษียณ ลาออกจากงานของการปฏิบัติ หรือลาออกจากศีลสมาธิปัญญา หรือว่าศีลสมาธิปัญญาล้ม หรือว่าขาด ชะงักงัน

ระหว่างนั้นก็ใส่เกลือลูกเดียว ดองเค็ม ...เพื่อสต๊าฟ “ตัวเรา” ให้มันเป็นอนุสาวรีย์ที่อยู่ยั้งยืนยงคู่สามโลกธาตุ ...อย่างนั้นน่ะ มันจะเป็นอย่างนั้นกันน่ะ

มันต้องเตือนตัวเอง ...ไม่มีคำว่าพัก ไม่มีคำว่าหยุดภาวนา จนถึงเรียกว่าไม่มีเวลาภาวนา ...ภาวนาถึงขั้นเรียกว่าไม่มีเวลาภาวนา ไม่มีว่ากินข้าวก่อน ไม่มีว่าอาบน้ำก่อน ไม่มีว่าแต่งชุดขาวก่อน

ไม่มีว่าไปเชียงใหม่ก่อน ไม่มีว่ากลับไปถึงบ้านก่อน ไม่มีว่าพักงานก่อน เลิกงานก่อน ไม่มีว่าอยู่คนเดียวก่อน ไม่มีว่าให้อารมณ์ดีๆ ก่อน ...เห็นมั้ยว่า มันจะไม่มีเวลาภาวนานะ

ทุกครั้งที่ลืม ทุกครั้งที่หลง นั่นแหละคือเวลาภาวนาต้องเกิดแล้ว  ทุกครั้งที่ไม่อยู่กับเนื้อกับตัว ทุกครั้งที่ไม่อยู่กับปัจจุบัน นั่นแหละคือเวลาที่ต้องภาวนา

ตรงนั้นน่ะ มันจะเข้าไปทำความจางคลายจากความดองเค็ม ความเข้มข้นของสารเข้มข้นหรือเกลือ มันก็เจือจางไป ...ไอ้ที่ดองไว้ ไอ้ผักที่ดองไว้ ก็คือ "ตัวเรา" นั่นเอง 

คือตัวเรา...ความเห็นเป็นเรานั่นเอง ความรู้สึกเป็นตัวเรานั่นเอง ที่มันเหมือนเป็นอนุสาวรีย์ยืนเที่ยงอยู่ภายในน่ะ ...มันก็เริ่มเสื่อมสภาพจากการดองเค็ม

คือความเป็นเรามันก็เริ่มจาง เริ่มไม่เข้มข้น เริ่มสลายตัวของมันเอง จนไม่ปรากฏชัดเจนว่าเป็นเรา จริงๆ จังๆ นี่เป็นอานิสงส์ของมรรคทั้งนั้นนะ เป็นพลานุภาพของศีลสมาธิปัญญา

กิเลสน่ะมันไม่กลัวอะไรเลยในสามโลกน่ะ เพราะมันไม่รู้จักกลัว อาจหาญ กล้าหาญ อวดดี อหังการ ...มันกลัวอยู่อย่างเดียว กลัวศีลสมาธิปัญญา...เหมือนด้ายสายสิญจน์กับผีน่ะ ประมาณนั้น 

มันเป็นของที่มันแก้กัน  เหมือนเชือกกล้วยกับงู อะไรประมาณนั้น เหมือนขมิ้นกับปูน เจอกันเมื่อไหร่ มันไม่สามารถจะจับตัวกันได้ ไม่สามารถกลมกลืนกันได้แต่ถ้าปูนแดงกับน้ำนี่..เสร็จ

แต่ถ้าขมิ้นลงไปนี่ มันแตกตัวเป็นเม็ดๆ ...เคยเห็นมั้ย ขมิ้นกับปูน อยู่ด้วยกันไม่ได้ มันไม่ปนกัน ไม่งั้นเขาไม่เรียกว่าขมิ้นกับปูนหรอก


(ต่อแทร็ก 10/40)




ไม่มีความคิดเห็น:

แสดงความคิดเห็น