วันเสาร์ที่ 25 มีนาคม พ.ศ. 2560

แทร็ก 10/41


พระอาจารย์
10/41 (560420D)
(แทร็กชุดต่อเนื่อง)
20 เมษายน 2556


พระอาจารย์ –  ทั้งหมดนี่คือการภาวนา...ที่ไม่อาศัยรูปแบบ และเวลา ...แต่อาศัยความตั้งใจใส่ใจ ...ต้องมีอย่างมากคือความตั้งใจในตัวเอง

ยืนก็ตั้งใจยืน เดินก็ตั้งใจเดิน ยืนก็ตั้งใจรู้ นั่งก็ตั้งใจรู้   ไม่ปล่อย ไม่หลวม ไม่เว้นวรรค ไม่อ่อนข้อ ไม่รามือ ...มันต้องอยู่ด้วยความตั้งใจตลอด จนวันตาย

ตั้งใจทำ ตั้งใจพูด ตั้งใจคิด ทุกอย่างต้องทำด้วยความตั้งใจ มีสติ ...แม้แต่การเห็น การได้ยิน  ก็ตั้งใจดูตั้งใจฟัง ตั้งใจพูด  ทุกอย่างต้องมีความตั้งใจอยู่ตลอด มันจึงอยู่กับเนื้อกับตัวได้

ไม่ใช่ทำเอาแบบลวกๆ ตามความเคยชิน หูไปทาง กายไปทาง ใจไปทาง หรือไม่มีกายมีแต่จิตที่มันร่อนเร่พเนจรไปมา แล้วก็มีแต่กายที่ไหนก็ไม่รู้ลอยไปลอยมา ทำนู่นทำนี่ไปมาในจิตอยู่นั่น

ไม่ยาก-ไม่ง่าย แต่โคตรเหนื่อยเลย บอกให้ ...เพราะอะไร เพราะมันเป็นการที่ต้องใช้เวลาในการบ่ม คำว่าบ่ม...รู้จักคำว่าบ่มอินทรีย์มั้ย มันใช้เวลาพอสมควร

อย่ามักง่าย อย่าเอาเร็ว อย่าด่วนสรุป อย่าเพิ่งเชื่ออะไรในจิตที่มันปรากฏขึ้นมา เอาวางไว้ก่อน อย่าเพิ่งเชื่อ อย่าเพิ่งกระโดดงับเหมือนหมางับกระดูกในสภาวะจิตที่เกิด หรือสภาวธรรมที่ปรากฏ

วางไว้แบบกลางๆ ไว้ก่อน แล้วก็มาจดจ่อแน่วแน่อยู่กับสภาวธรรมที่เรียกว่ากาย...สมมุติว่ากาย

สภาวธรรมนี้เป็นสภาวะแรก เป็นสภาวะเอก เป็นสภาวะหนึ่ง เป็นสภาวะจริงที่สุดแล้ว ที่ไม่มีอะไรมาลบล้างได้...แม้แต่จิต แม้แต่สภาวะจิต

แต่เวลาหลงเข้าไปในสภาวะจิตเต็มๆ นี่ กายหายไปเลย หากายไม่เจอเลย ทั้งๆ ที่ว่ากายจริงๆ มีอยู่ ...นี่ ความปกปิด ปิดบังของจิต เข้าไปบังกายได้ถึงขนาดนั้น

แล้วยังไปหลงสภาวะจิตในนั้นอีกว่าดี ...ไม่เห็นหรือไงว่ามันปิดบังความเป็นจริง ล้วนๆ เลย ปิดบังศีลเต็มๆ เป็นจิตบังตา บังธรรม บังปัจจุบัน บังสัจจะ บังปรมัตถ์สัจจะ บังสมมุติสัจจะในปัจจุบันเลย

แต่กลับไปยินดี เออออห่อหมก เคารพนบนอบต่อสภาวะจิตนั้นๆ  ซึ่งมันก็...จริงๆ แล้วคืออะไร ก็คือแค่อารมณ์หนึ่ง ชั่วคราวประเดี๋ยวหนึ่งเท่านั้นเอง

แต่ที่มันเข้าไปให้ค่าให้ราคาไว้ของมัน มันเกิดการเข้าไปผูกสมัครรักใคร่ ยินดีพอใจ แล้วก็ต้องการที่จะหวนคืนมาครอบครอง มามีมาเป็นขึ้นมาอีก

มันกลับกลายเป็นไปว่า ภาวนาเพื่อมาปิดบังตัวเอง มาปิดบังความเป็นจริงของตัวเอง ของตัวเรา ของตัวกาย

ถึงว่าถ้ากายไม่หาย แต่ว่าไม่ถึงฝั่ง เพราะยังมีเวทนา เพราะมันยังปวดอยู่ ...วันไหนที่ภาวนาแล้วลืมกาย ลืมเวทนา คือหายไปเลยนี่ ...อู้ย ใช่เลยแหละ โคตรดีเลยกู วันนี้หน้าบานเลย

ใครถามว่าภาวนาดีมั้ย ดีมากๆ มันจะตอบแบบ อื้อหือ พอง...เหมือนอึ่งอ่างน่ะ พูดได้โดยไม่อายปากจริงๆ ภูมิอกภูมิใจ แต่ไม่เคยสังเกตตามต่อนะว่า มันเริ่มค่อยๆ เหี่ยวลง มัวลง

รักษาแทบตาย หรือบางทีก็ไม่รักษา มันลำพองใจ มันเกิดความลำพอง ...แต่ว่าธรรมคืออยู่ในสภาพของความดับไปเป็นธรรมดา มันไม่เห็น มันไม่จับพิรุธตรงนี้ได้

แต่ว่าพอหายไปแล้ว รู้แล้ว รู้ตอนหายไป พอมาสักพัก...เสียดาย ผลตามมา อารมณ์ตามมา หวง ห่วง แล้วมันหาย มันเกิดเสียดาย เกิดความใคร่ที่จะให้มีมาใหม่

อำนาจของตัณหาความทะยานอยากเริ่มเพาะตัว ถ้าขยันเร็วก็เพียรก็เกิดตรงนั้น ก็กลับไปเอาจริงเอาจังให้มันเกิดขึ้นมีเป็นใหม่ มันเรียกว่าเร่งความเพียร แต่เราเรียกว่าเร่งความอยาก

คนละคำกับความเพียรของเราไอ้ความเพียรที่ว่า เดี๋ยวต้องทำให้ได้ระดับนั้น เราบอกว่านั่นน่ะเร่งความอยาก อยากได้ อยากเกิดสภาวะเหมือนเดิม ยิ่งกว่าเดิม  ยิ่งบังกายได้เท่าไหร่ยิ่งดี

ไม่รู้มันเอามรรคเอาผลข้อไหนมาเป็นมาตรฐานของมัน ไม่รู้มันเอาพระพุทธเจ้าองค์ไหนมา เอาคำสอนของพระพุทธเจ้าตรงไหนมา ...คือนั่งภาวนาปึ๊บ หลับตาปั๊บ ทิ้งศีลทันทีปุ๊บเลย

แต่ลึกๆ มันยังบอกนะ สมาทานศีล ๕ อยู่ มีศีล ๕ ครองอยู่  ผ้าขาวก็ ๘ ถ้าพระก็ ๒๒๗ นี่ ยังมีอยู่ ...เราก็ถาม มันมีอยู่ตรงไหนหือๆ ขอดูหน่อย  ไอ้ ๕ ไอ้ ๘ มันอยู่ตรงไหน อยากเห็น

เอาหลักฐานไหนมายืนยันว่ามีอยู่ หือ คิดเอาเองรึเปล่า มั่วรึเปล่า เข้าข้างตัวเองเกินไปรึเปล่า หย่อนบัตรลงคะแนนให้ตัวเองมากเกินไปรึเปล่า เออะ เชื่อกันแบบนั้น

แต่ถ้าถามว่าศีลที่ยืนยันได้อยู่ที่ไหน ...กายมีมั้ย ปวดมั้ย แข็งมั้ย นิ่งมั้ย เออ อันนี้ยืนยันได้เว้ย ว่ามีหรือไม่มี ...ถ้าไม่มีก็หายน่ะ ถ้ามีก็รู้น่ะ เห็นน่ะ เอ้า เหตุแห่งกายก็ปรากฏตรงนั้น

เพราะนั้นเหตุแห่งกายปรากฏตรงนั้น หมายความว่าเหตุแห่งศีลก็อยู่ที่นั้น ความว่ากายก็คือคำว่าปกติกายนั่นเอง

เมื่อใดที่ไม่มีความเป็นปกติกาย ทิ้งความปกติกาย ออกจากความปกติ ออกจากรู้และเห็นความปกติกาย...ขาดจากศีล ...เนี่ย มันจะเอาอะไรมาเถียงศีลได้ ว่าศีลขาดน่ะขาดตอนไหน

ไอ้ตอนนั่งอยู่แล้วมันว่าศีลไม่ขาด เอาอะไรมายืนยันว่าศีลไม่ขาด ก็ว่ายังไม่ขาดเลยสักข้อน่ะ แปดข้อ สิบข้อ เอาอะไรมายืนยัน กล่าวอ้างลอยๆ รึเปล่า

มันถือศีลแบบลอยๆ รึเปล่า คิดเอาเองรึเปล่า มั่วรึเปล่า ทำไมไม่แยบคายในศีล

แต่ถ้ามาลงที่กายเป็นศีล กายเป็นปัจจุบัน ทุกคนเท่ากัน เหมือนกันหมด ศีลเดียวกันหมด เสมอกันหมด เป็นอันเดียวกันหมด แบ่งแยกไม่ได้ จิตจะมาจำแนกว่าดีร้ายถูกผิดกว่ากันไม่ได้

นี่ ศีลเป็นหนึ่ง ศีลเป็นเอกอย่างนี้...อ๋อ หายโง่ไประดับหนึ่งแล้ว ...ทีนี้พอหายโง่ รู้ว่าศีลที่แท้จริงคืออะไร อธิศีลคืออะไร ทีนี้ลงทุนแล้ว

รักษาแบบ...ถ้ารู้ว่าดีจริง ถ้ารู้ว่าเป็นศีลจริงน่ะ To die for เลย  เป็นตายร้ายดีกูก็จะไม่ทิ้งศีล ...มันก็อยู่กับความรู้ตัวๆๆๆ โดยไม่ขาดตอน

ไอ้ตัวก็คือตัวนี้แหละ ไม่ใช่ตัวไหน ตัวอดีต ตัวอนาคต ไม่ใช่ตัวข้างหน้าข้างหลัง ตัวคนอื่น ตัวนี้คือตัวกายตัวศีล ตัวปกติ ตัวปัจจุบัน ...มันเป็นเครื่องยืนยันความเป็นปัจจุบัน

ถ้าไม่มีศีลสมาธิปัญญาแปลว่าไม่มีปัจจุบัน ถ้ามีตัวแปลว่ามีศีลสมาธิปัญญา แปลว่ามีปัจจุบันปรากฏ ...ถ้ามีปัจจุบันปรากฏแปลว่ามีความจริงอยู่กับปัจจุบัน ให้เห็น ให้รู้ ให้ดู ให้ทำความเข้าใจ แยบคาย และรู้แจ้ง

ทั้งหมดทั้งปวงก็คือสัจธรรมนั่นเอง ศีลสมาธิปัญญาจึงเป็นตัวที่ขึงพืดสัจธรรมให้ปรากฏ ...มันจะไม่เห็นอานิสงส์ของศีลได้ยังไง จะไม่เห็นอานิสงส์ของไตรสิกขายังไง

ถ้าไม่มีไตรสิกขา ศีลสมาธิปัญญา ...มันไม่มีทางที่จะตีแผ่ความเป็นจริงได้เลย

แล้วมันจะไปภาวนานอกศีลสมาธิปัญญา เพื่อไปค้นหาความเป็นจริงที่ไหนเล่า แล้วมันจะเจอความเป็นจริงที่ไหนเล่า แล้วมันจะเข้าใจความเป็นจริงกับอะไรเล่า ล้วนแต่เป็นสิ่งที่ไม่จริงทั้งสิ้น

นั่งรู้ดูเห็นก้อนนี้ ตั้งแต่เช้า...ก่อนเช้า เช้ามืด จนเย็น ก็ไม่เปลี่ยนที่ดูที่รู้ ...กิเลสจะแน่ หลงจะแน่ โมหะจะแน่ หรือสติจะแน่กว่ากัน...ฝึกเอา ทำเอา ช่วยไม่ได้ ตัวใครตัวมัน

ให้เครื่องมือแล้ว อธิบายถึงการใช้เครื่องมือแล้ว...ทำเอา  มีมือมีตีนก็กระพุ้งน้ำไว้ก่อน ...แล้วมันก็จะต้องทวนกับกระแสน้ำที่มันจะพัดพาสู่ทะเลกว้าง ทะเลไกล

มันก็ทวนเข้าหาฝั่ง จะได้ข้ามฝั่ง จะได้ถึงฝั่ง ...ที่ไม่มีกระแสพัดหมุนวน ลากจูงออกไปจมกลางมหาสมุทร...โอฆะแห่งสงสารนั่นเอง

ทวน ...พาย มีมือพาย มีตีนพาย สองแขนสองขา กายหนึ่งนี่เป็นตัวศีล เป็นตัวพายเข้าหาฝั่ง ...ซึ่งมันต้องทวนกระแสแน่ๆ เดี๋ยวกล้ามขึ้นเป็นมัดๆ

ทีนี้ไม่กลัวกระแสแล้ว แข็งแรงแล้ว แข็งแรง เขาว่าซิกแพ็ก กูเซเว่นแพ็กอ่ะ แข็งแรงขึ้น เพราะมันออกแรงทั้งวัน ตั้งแต่ตื่นเช้ายันหลับตานอน ตื่นเช้าขึ้นมาใหม่ เอาใหม่ ดูไปใหม่

มันก็แข็งแรง สติก็แข็งแรง สมาธิจิตก็ตั้งมั่นแข็งแรง ปัญญาก็ชัดเจน แจ่มใส ไม่รู้ไม่ชี้กับโลก กับผัสสะ กับอายตนะ แจ่มใสอยู่ภายใน

ไหนเป็นกาย ไหนเป็นรู้ก็แจ่มใส ...มันเหมือนเดินคู่ขนานกันระหว่างกายใจ มีช่องว่างระหว่างการเป็นสุญญตา

เราพูดไปนี่ อย่าคิดตามนะ เดี๋ยวมั่ว ...ให้มันเป็นก่อน ให้มันเห็นก่อน แล้วมันจะเข้าใจเอง ... ไอ้ตำรับตำราที่เขาเขียนมาหลอกคนอ่านให้โฆษณาชวนเชื่อ มันคืออันนี้นี่เอง

ตอนแรก เข้าใจว่าเป็นอย่างนั้น ...พอถึงตรงนี้ อ๋อ แล้วก็ทิ้งตำราไป ฉีกตำราไป...ฉีกทิ้งจากสัญญา ลบสัญญา ความจำได้หมายรู้ในสังขารธรรมที่บัญญัติเป็นภาษาสมมุติ

ถ้าอย่างนี้ กิเลส พญามาร มัจจุมาร ก็จับไม่ได้ ...แน่หรือไม่แน่ล่ะมรรค ศีลสมาธิปัญญา ที่เรียกว่าธรรมาวุธ ปัญญาวุธ เป็นอาวุธที่พญามาร กิเลสมารนี่กลัวมากๆ เจอเป็นตาย ตายแล้วไม่ค่อยฟื้นด้วย ตายแล้วตายเลย

แต่พวกเล่นดองเค็มน่ะ แล้วไปหาถังดองใหม่อีกต่างหาก มันจะได้บรรจุผักกาดดองหรือตัวเราน่ะมากๆ จะได้อยู่ยั้งยืนยงไปจนถึงอรูปพรหมเลย...สำเร็จแล้วกู ไม่มีกาย ไม่มีจิต สบาย

นั่น ความรู้ไม่มีประมาณ...สบาย ว่างไม่มีประมาณ...สบาย นี่เขาเรียกว่าเข้าไปแช่โอฆะสงสารด้วยเกลืออย่างยิ่ง ทั้งทะเลเลย เค็มหมดเลยแหละ ทะเลถึงเค็มอยู่ทุกวันนี้

นี่แหละภาวนา อยู่ในหลักเดียวนี้ ...หาหลักให้เจอ จับหลักให้ได้ แล้วก็ปักหลักให้มั่น ก็จะเรียกว่าได้หลักได้เกณฑ์ขึ้นมาภายใน ...อย่าไปแบกเสาหามเสา มันหนัก ให้มันได้หลัก พอแล้ว

อย่าไปเอาเสา อย่าไปเอาจั่ว จั่วก็ไม่เอา เสาก็ไม่เอา เขาว่ารักดีหามจั่ว รักชั่วหามเสา คือกูไม่เอาทั้งจั่ว แล้วกูก็ไม่เอาทั้งเสา ...แต่กูเอาหลัก ศีลสมาธิปัญญาเป็นหลัก ก็เลยไม่เอาทั้งจั่ว ไม่เอาทั้งเสา

ดีก็ไม่เอา ชั่วก็ไม่เอา กุศล-อกุศลก็ไม่เอา จิตดีก็ไม่เอา จิตร้ายก็ไม่เอา เอาแต่รู้..กับกาย นั่นเขาเรียกว่าหลัก จนกิเลสมันยอมต่อหลักนี้ มันไม่ออกนอกหลักนี้ มรรคก็จะแข็งแกร่งขึ้นเอง

พอแล้ว ไปอยู่กับตัวเอง จนวันตาย เกิดใหม่ดูต่อ ...เอาจนว่าใครตายก่อนกัน


.....................................




ไม่มีความคิดเห็น:

แสดงความคิดเห็น