วันพุธที่ 22 มีนาคม พ.ศ. 2560

แทร็ก 10/40 (1)


พระอาจารย์
10/40 (560420C)
(แทร็กชุดต่อเนื่อง)
20 เมษายน 2556
(ช่วง 1)


(หมายเหตุ  :  แทร็กนี้แบ่งการโพสต์เป็น  2  ช่วงบทความ)

พระอาจารย์ –  เหล่านี้ต้องอาศัยความพากเพียร บากบั่น เหมือนกับต้องทรมานตัวเอง คือ “ตัวเรา” น่ะ ...เหมือนหยิกเล็บก็เจ็บเนื้อ

เพราะว่าไอ้ “ตัวเรา” นี่ ดูเป็นตัวที่มันมีชีวิต เป็นตัว alive ...เพราะนั้นเมื่อทำลาย “ตัวเรา” ทำลายตัวเอง ทำลายตัวเรานี่ ...มันต้องเจ็บปวด มันต้องทรมาน

มันต้องฝืด มันต้องรู้สึกกระวนกระวายอึดอัด ...เพราะตัวศีลสมาธิปัญญา มันจะเป็นตัวที่ทำให้ “เรา” นี่ตาย ตายสูญไปจากโลกธาตุ สามโลกธาตุ สามภพเลย

ใครจะอึดกว่ากัน ใครจะมีขันติบากบั่น ในการที่จะพากเพียรอยู่กับศีลสมาธิปัญญาได้มากกว่ากัน ต่อเนื่องกว่ากัน ...เก็บเกี่ยวผลเอาเอง ตามมรรคตามผลที่ทำ

มรรคเท่าไหร่ ผลเท่านั้น ...ประกอบเหตุแห่งศีลสมาธิปัญญา ประกอบเหตุแห่งมรรคเท่าไหร่ ผลเท่านั้น ไม่มีใครลัด ไม่มีใครตรง ไม่มีใครอ้อม ไม่มีใครได้บัตรพิเศษ สิทธิพิเศษเกินกว่าใคร

มันเป็นไปตามเหตุอันควร เมื่อประกอบเหตุที่สมควร นั่นอย่ามามัวนั่งฝันหวาน อย่ามามัวนั่งรอนั่งคอย อย่ามามัวนั่งคิดนั่งปรุง อย่ามามัวค้นและหา

ให้ประกอบเหตุลงไปในปัจจุบัน ประกอบเหตุแห่งสติ แล้วก็ระลึกรู้กับกายปัจจุบัน เรียกว่าประกอบเหตุแห่งสติ จนเข้าไปประกอบเหตุแห่งศีลให้ปรากฏขึ้นมา

ศีลสมาธิปัญญามีอยู่แล้ว แค่เข้าไปประกอบให้มันปรากฏขึ้นมาชัดเจนเท่านั้น ...เมื่อปรากฏขึ้นมาแล้วนี่...ตรงนี้ ต้องรักษา  ถ้าไม่รักษา...ล้ม หาย ตาย จาก

คือไม่ใช่กิเลสล้มหายตายจาก ...ศีลสมาธิปัญญาน่ะ จะล้มหายตายจากให้เห็นเอง ...จึงเรียกว่ามันต้องอยู่ในองค์ของสัมมัปปธาน ๔ นั่นน่ะคือความเพียร

ยังกุศลให้เกิด รักษากุศลให้เกิดอยู่ต่อเนื่อง ชำระอกุศลออก คอยแยบคายในทุกสิ่งทุกอย่างที่มีอกุศลเจือปน ...มันก็อยู่ในองค์ของสัมมัปปธาน เหล่านี้ 

อิทธิบาท ๔ สัมมัปปธาน ๔ มรรคมีองค์ ๘ โพชฌงค์ ๗ โพธิปักขิยธรรม ๓๗ นั่นเป็นองค์ธรรมที่จะเอื้อ เกื้อ สงเคราะห์ สนับสนุน ให้การดำเนินไปในองค์มรรคนี่ไม่ผิดพลาดคลาดเคลื่อน และเป็นไปตามครรลองของมรรค

เหมือนคนขับขี่เกวียนที่ชำนาญเส้นทาง แล้วรู้หนักรู้เบาในการจะควบคุม ล้อเกวียนดุมเกวียนนี้ ให้ไปตามเส้นทางจนถึงที่หมาย ...นั่นดำเนินโดยโพธิปักขิยธรรม

แต่ต้องหาที่หมายแรกให้เจอก่อน...ว่าศีลอยู่ไหน  แล้วก็ทำความชัดเจนอยู่ในองค์ศีล...เป็นอันดับแรก อันดับต้น เป็นต้นทาง เป็นปากทาง ...ซึ่งมันมีด่านขวาง ปิดบัง กว่าจะฟันฝ่าไปได้นี่

จะไปโทษใครไม่ได้เลย เพราะด่านที่ปิดนี่เนื่องด้วย “ตัวเรา” เอง ไปหาอะไรก็ไม่รู้มา ขยะทั้งนั้น มาบังทางปิดทางนี้ มาบังศีลมาปิดศีลตัวนี้ ...จึงดูเหมือนว่าศีลนี้หาไม่เจอ หรือไม่มีอยู่เลยในสามโลก

ไปโทษใครไม่ได้หรอก โทษความไม่รู้ของจิต โทษความไม่รู้ของ “เรา” แล้วเราไปหาความไม่รู้อื่นมาปิดบัง ความไม่รู้อื่นแต่มันเข้าใจว่าเป็นความรู้ที่แท้จริง นั่นน่ะ ตัวนั้นน่ะคือขยะ

อ่านมาก ฟังมาก คิดเอาเองบ้าง มันไม่ได้เป็นธรรมที่เป็นสัทธรรม ส่วนมากจะเป็นสัทธรรมปฏิรูป มันไม่ใช่พระสัทธรรม ที่ออกมาจากปากของผู้ที่เป็นสัตบุรุษหรือบัณฑิต

จึงบอกว่าในเบื้องต้นนี่ จึงต้องใกล้ หรือว่าคบบัณฑิต ฟังธรรมจากบัณฑิต ...แต่มันก็ยากตรงที่ว่าบัณฑิตนั้นไม่มีเลขหมายติดกับหน้าผากบอก เลยไม่รู้ว่าบัณฑิตหรือดัดจริต มันรู้ไม่ได้

อันนี้มันก็ต้องใช้ปัญญาของไอ้เรือง พิจารณาฟังเอาจากธรรมที่ท่านกล่าว  …เพราะนั้นอย่าเพิ่งไปว่าเป็นพาลซะหมดก่อน คือมองในแง่ดี คิดว่าเป็นบัณฑิตไว้ก่อน แล้วก็ฟังแล้วพิจารณาตาม

ถูกบ้างผิดบ้าง ไม่เป็นไร ...พอพิจารณาตามพอเห็นว่าไม่ใช่ แล้วก็ค่อยถอยออก ออกแบบเนียนๆ นะ ไม่ต้องด่าตามหลังเขาด้วยนะ ค่อยๆ ถอยออกแบบไร้ร่องรอย เป็นไปด้วยความสงบ

เออ ไม่ขัดแย้งกัน ...เพราะอะไร  เพราะเขายังประโยชน์ให้บุคคลที่เขาต้องการปรารถนา...ก็มีนะ คือมันเป็นหน่อเนื้อเชื้อแถวเดียวกันกับเขาก็ได้ 

คืออาจจะเป็นญาติวงศาของเขา หมู่ของเขา แล้วเขาทำกันมา แล้วเขามีความสุขสมภิรมย์หมายในธรรมแบบนี้ ในกุศโลบายแบบนี้ ...ก็ไม่ว่ากัน

เราก็ค้นต่อไป หาต่อไป...ไม่ได้หามรรคหาผลอะไร ไม่ได้หานิพพานที่ไหน ...แต่หาว่าศีลที่แท้จริงคืออะไรกันแน่ จากปากคำของเหล่าผู้ปฏิบัติที่เขามีชั่วโมงบินมาก่อน

พอประเมินประมาณได้ด้วยปัญญาหัวไอ้เรืองนี่ ที่เรียกว่าจินตามยปัญญา ...แล้วก็ลงทุน พอมันเริ่มประเมินได้ก็ลงทุน ลงทุนปฏิบัติ ลงทุนเอากาย วาจา จิตนี่ ปฏิบัติอยู่ในองค์ศีล ...แล้วก็ทุ่มทุน

แรกๆ ลงทุนก่อน พอลงทุนแล้วมัน..เออ เข้าเค้า ไม่น่าจะผิดจากที่เคยได้ยินว่า ศีลเป็นเหตุให้เกิดสมาธิ เคยได้ยินมาว่าศีลนี้ ผู้ที่มีศีลเป็นรั้ว ผู้ที่มีศีลเป็นอารมณ์ ผู้ที่มีศีลเป็นที่อยู่ จิตสงบ เออ มันเริ่มเข้าเค้าโว้ย

เอาผลแค่นี้ก่อน อย่าเพิ่งไปไกลถึงนิพพาน หรือปัญญาที่รู้แจ้งแทงตลอด ทำลายความเป็นเราโดยหมดสิ้นเชิง...ยัง อูย แค่ถอนหญ้าสาบเสือออกจากถนนน่ะ ยังมีอะไรบังทางอีกเยอะ...ยัง

แต่ว่าพอมันเริ่มลงทุนนี่ แล้วมันเกิดเบี้ยบ้ายรายทางพอประทังชีวิต ...แรกๆ มันจะได้แค่นั้นก่อน พอประทังชีวิต ไม่อด ไม่ขาดแคลน เหมือนเป็นผลกำไรจากการลงทุน มันก็อยู่กับกำไรนี้ไป 

แล้วค่อยๆ เพิ่มการลงทุนถึงขั้นเรียกว่า ทุ่มเทสุดเนื้อสุดตัว ลงไปในองค์ศีล ทีนี้เทหมดหน้าตัก ไม่มีกั๊ก ไม่มีเก็ง ไม่มีเต็ง ไม่มีหาม กะว่าตายเป็นตาย  ถูกเป็นถูก ผิดเป็นผิด ...ไม่สงสัยแล้ว ทุ่มทุน 

นี่ ถึงขั้นนั้นเลย ทุ่มเทเต็มที่เลย กำลังทั้งหมด พละกำลังทั้งหมด การปฏิบัติทั้งหมด วิธีการทั้งหมด รูป อิริยาบถทั้งหมด จิตทุกดวง ความรู้สึกทั้งหมด...รวมลงที่กายเดียวรู้เดียวจริงๆ

เพราะแต่ก่อนน่ะ มันอยู่แบบ...อยู่รึเปล่ากูไม่รู้หรอก ยังไม่เต็ม ยังทุ่มไม่สุดตัว ...พอถึงขั้นนี้ต้องทุ่มสุดตัวแล้ว ตายเป็นตาย ไม่สำเร็จก็ไม่สำเร็จล่ะวะกู ติดก็ติด ไม่ทันเพื่อนก็ไม่ทันเพื่อน

เพราะจิตไม่ได้ไปนั่งเอาความสงบแบบเป็นวรรคเป็นเวรเลย ...เอาแต่รู้ตัวๆ รู้กาย ยืนเดินนั่งนอนๆ ขยับซ้ายขยับขวา เอี้ยวหน้าเอี้ยวหลัง เหยียดคู้ กลืนกิน กระพริบ หัน กลอกลูกตา ...เอามันทุกเม็ด 

คือทุ่มเททั้งหมด ทุกเวลา ทุกขณะ ทุกวินาที เรียกว่าทุ่มทุนเลยนะนั่นน่ะ ...ดูซิ มันจะเข้าถึงหัวใจของศีล ที่สุดของศีล มันก็จะเข้าไปซาบซึ้ง ลึกซึ้งในองค์ศีลในองค์กายขึ้นมาเองน่ะ 

จนมันสามารถเอาเป็นที่พึ่งได้ ...ไม่ไปพึ่งตำรับตำรา ไม่ไปพึ่งคำกล่าวอ้าง คำพยากรณ์ คำแนะนำของหมอดู ...หมอดูภูมิธรรมก็มี หมอดูอดีตอนาคตก็มี หมอดูบารมีอุปบารมีก็มี ...ไม่พึ่งน่ะ

มันเอาศีลน่ะเป็นที่พึ่งได้เลย พึ่งกายนี้ได้แล้ว อยู่กับกายนี้ได้โดยไม่หวั่นไหวต่อสิ่งใดในโลก ไม่สุขไม่ทุกข์กับกายนี้อีกต่อไปแล้ว ...นั่นแหละเข้าถึงหัวใจของศีล

ทีนี้มันหยุดหามรรคและผลแล้ว หยุดหมดเลย  ทุ่มจนหมดตัวหมดเราน่ะ  มันทุ่มลงไปแล้วผลคือ หมดตัว หมดเรา เลย“เรา” มันก็หมดไป เพราะการทุ่มทุนครั้งนี้นี่เอง

แต่พวกเรานักปฏิบัติน่ะ...มันไม่จริง ...นั่น ศีลน่ะจริง สมาธิน่ะจริง ขันธ์ห้าน่ะจริง ปัญญาก็จริง...ทุกอย่างจริงหมด แต่ผู้ปฏิบัติกลับไม่จริง

ทำแบบแปล๊บๆ พล็อบๆ แพล็บๆ จิ๊กนึง..."พอแระ" ...แค่เนี้ย มันไม่พอยาไส้หรอก กลัวกิเลสมันเจ็บรึไง ...กลัว “เรา” เจ็บ  กลัว “เรา” อึดอัด  กลัว “เรา” ไม่สนุกสนานเพลิดเพลิน

กลัว “เรา” เหนื่อย กลัว “เรา” ไม่สบาย กลัว “เรา” ตาย “กลัวเราๆๆๆๆ” …นั่น ดองมันเข้าไว้ “เรา” น่ะ เอาให้เค็มปี๋เลยนะ จะได้อยู่ยั้งยืนยง...สามโลกธาตุคู่กันไปเลย เอาป่าว

พอได้สักพักนึง ไปเจอคนพูดคนด่า เจอการกระทำอันนั้นอันนี้ หรือว่าขันธ์แสดงอาการวิปริต ก็เอาแล้ว อยากจะทิ้ง “เรา” เต็มที่เลยตอนนั้น ...ทิ้งไม่ได้อีก ก็กูดองมาซะจนเค็มปี๋น่ะ

มันก็ยืนเป็นอนุสาวรีย์รับความเจ็บปวดนั้นไปแล้วกัน ถือครองความเจ็บปวดนั้นไป ถือครองความทุกข์นั้นไป...ในเสียง ในรูป ในกลิ่น ในรส ที่ดั่งใจและไม่ดั่งใจ ในสามโลกธาตุ

เห็นมั้ยว่า การปฏิบัตินี่มันเป็นเหตุและผลซึ่งกันและกัน ทำยังไงก็ได้ยังงั้น ไม่มีผิดไม่มีถูกหรอก ...ถ้าทุกคนผู้ปฏิบัติประกอบตรง ประกอบเหตุแห่งมรรค ผลก็คือการละ วาง จาง คลาย หมดไป สิ้นไป

แต่เมื่อใดผู้ปฏิบัตินั้นประกอบเหตุแห่งอวิชชาตัณหา ประกอบเหตุแห่งเรา ตามความอยากของเรา ตามความไม่รู้ของเรานี่ ...ผลก็คือทุกข์-สุข สลับหมุนเวียน 

สุขๆ ทุกข์ๆ...ทุกข์ๆ สุขๆ ...แต่สุขน้อยกว่าทุกข์ แล้วสุดท้ายก็มีแต่ทุกข์ หาสุขไม่เจอเลย …เห็นมั้ย ตอนตายไม่มีใครนอนยิ้มตายหรอก นั่นน่ะหาสุขไม่เจอเลย

สุดท้ายนั่นน่ะเขาจะแสดงความจริงว่า ไม่มีสุขแม้แต่อณูเดียวในสามโลก ...แต่พอดีน่ะ มันไปเห็นแล้วก็ตาย แล้วก็พอดีเสร็จเลยลืม เกิดใหม่ก็ลืมแล้วว่าเคยตายมา ไม่หลาบไม่จำ

เนี่ย มันอยู่ที่การประกอบเหตุนะ ไม่ใช่อยู่ที่ความอยากหรือความไม่อยาก หรือว่าคิดเอาเอง ...ได้แต่คิดถึงมรรคถึงผล ได้แต่คิดถึงวิธีการปฏิบัติ ได้แต่คิดว่าจะทำอย่างนั้น จะทำอย่างนี้

ได้แต่คิดว่าจะรักษาสติด้วยวิธีการใด จะภาวนาวัดไหนดี จะท่าไหนดี ...นั่น ไม่เกิดหรอก สมาธิก็ไม่เกิด ปัญญาก็ไม่เกิด ...มันอยู่ที่ประกอบเหตุแห่งสติรึยัง ขณะที่นั่ง..รู้มั้ย ขณะที่คิด...รู้มั้ยว่าคิด กำลังจมอยู่ในความคิดน่ะรู้มั้ย

เนี่ย ถ้ามันรู้ ประกอบเหตุขึ้นในปัจจุบันแห่งสติ ศีล สมาธิ ปัญญา ผลก็เกิดเป็นเงาตามตัว ...เหมือนไปยืนกลางแดดแล้วต้องมีเงาน่ะ มันหนีไม่พ้น หนีกันไม่ได้

แต่ไอ้นี่ยืนอยู่ในร่ม แต่หาว่าเงาอยู่ไหนนี่ๆ พยายามจะทำให้เงาเกิด ...มันจะเกิดได้อย่างไร มัวแต่คิด มัวแต่หา มัวแต่คาดคะเน หรือทำไปแบบไม่รู้เนื้อไม่รู้ตัว

ทำอะไรแบบไม่รู้เนื้อไม่รู้ตัว ผลออกมาน่ะมันจะเป็นลักษณะว่า...เฮ้ย วันนี้ฟลุ้คโว้ย ...โอ วันนี้สงสัยจะเป็นบารมีเก่ามันส่ง ...อ้อ สถานที่นี้คงมีเทพมาช่วยสงเคราะห์อุ้มสมหรือบารมีครูบาอาจารย์ดีจริงๆ

คือทำแบบไม่รู้เนื้อรู้ตัวเมื่อไหร่ มันจะไม่รู้เลยที่มาที่ไป  แล้วก็เกิดอาการเหมา...เหมาธรรม เสร็จสรรพปั๊บ แพ็คเกจเป็นห่อไว้กินคราวหน้า ดองเค็มเก็บไว้

ถึงเวลานั้นเวลานี้ก็เอาออกมากินหน่อยซิ...เอ๊ ทำไมมันเน่าแล้ววะ อ้าว กลายเป็นงั้นไป เริ่มสงสัย เอาแล้ว เอ๊ สถานที่คงไม่ดี ไม่สัปปายะ ...เนี่ย เริ่มโทษสิ่งอื่น เริ่มโทษโลก โทษธรรมแล้ว


(ต่อแทร็ก 10/40  ช่วง 2)



ไม่มีความคิดเห็น:

แสดงความคิดเห็น